วิตามินบีรวม

วิตามินบี หรือ วิตามินบีรวม ที่เรารู้จักมักคุ้นกันในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่คุณรู้หรือไม่ว่าวิตามินบีนั้นมีอยู่ได้หลายชนิด และต่างก็มีประโยชน์และผลข้างเคียงที่ต่างกันออกไป โดยวิตามินบีแต่ละตัวจะทำงานเสริมซึ่งกันและกัน ต้องทานร่วมกันจึงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าแยกทาน สำหรับชนิดต่างๆของวิตามินบีรวมนั้นก็ได้แก่ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5วิตามินบี6 วิตามินบี7 วิตามินบี9 วิตามินบี12 วิตามินบี15 วิตามินบี17 และยังรวมไปถึง ไบโอติน โคลีน พาบา อิโนซิทอล อีกด้วยที่จัดว่าอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม

สำหรับการรับประทานวิตามินบีในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น ไม่ควรแยกรับประทานเพราะจะไม่ได้ประสิทธิภาพดีเท่าที่ควร แต่ควรรับประทานเป็นวิตามินบีรวมเพราะวิตามินบีแต่ละชนิดนั้นจะทำหน้าที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันและจะให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานอย่างสูงสุดโดยวิตามินบีรวมนั้นมีความจำเป็นอย่างมากต่อระบบประสาทและความสมบูรณ์ของอวัยวะต่างๆในร่างกาย

วิตามินบี1 (ไทอะมีน)

  • วิตามินบี1 หรือ ไทอะมีน มีชื่อเรียกว่า “วิตามินเสริมขวัญและกำลังใจ” เพราะมีส่วนช่วยบำรุงประสาท
  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ ผัก โฮลวีท ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง รำข้าว เปลือกข้าว เมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสี บริวเวอร์ยีสต์ นม ไข่แดง ปลา เนื้อออร์แกนิก เนื้อหมูไม่ติดมัน
  • ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 1 – 1.5 มิลลิกรัม
  • ผลเสียของการรับประทานเกินขนาดยังไม่พบว่ามีอาการเป็นพิษ หากรับประทานเกินขนาดก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะและไม่มีการสะสมแต่อย่างใด แต่หากมีอาการ (ซึ่งพบได้น้อยมากๆหรือแทบไม่เกิดเลย) ก็คือ สั่น โรคเริมกำเริบ ตัวบวม กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็ว และภูมิแพ้
  • ประโยชน์ของวิตามินบี1
    วิตามินบี11. ช่วยบำรุงประสาท กล้ามเนื้อ ทำหัวใจให้ทำงานเป็นปกติ
    2. ช่วยบำรุงสมอง ความคิด สติปัญญาให้ดีขึ้น
    3. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต
    4. ช่วยย่อยอาหารจำพวกแป้งได้ดี
    5. ช่วยบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน
    6. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัดทำฟัน
    7. ช่วยรักษาโรคงูสวัด
    8. ช่วยรักษาโรคโรคเหน็บชา

วิตามินบี2 (ไรโบฟลาวิน)

  • วิตามินบี2 หรือ ไรโบฟลาวิน มีอีกชื่อว่า วิตามินจี (Vitamin G)
  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ ไข่ นม ถั่ว โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว ปลา ตับ ไต
  • ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 1.2 – 1.7 มิลลิกรัม แต่ขนาดที่ใช้รับประทานต่อวันโดยทั่วไปคือ 100-300 mg.
  • ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ยังไม่พบอาการที่บ่งชี้ว่าเป็นพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินชนิดนี้ แต่มีความเป็นไปได้ว่าหากในร่างกายมีวิตามินชนิดนี้สูงเกินไปก็คือ คัน รู้สึกชา อาการแสบยิบๆ
  • โรคจากการขาดวิตามินบีชนิดนี้ได้แก่ โรคปากนกกระจอก หรือโรคขาดวิตามินบี 1 และบี 2 พบที่บริเวณริมฝีปาก มุมปาก ผิวหนัง อวัยวะสืบพันธุ์
  • ประโยชน์ของวิตามินบี 2
    วิตามินบีรวม1. บำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
    2. ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
    3. เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา
    4. ช่วยลดความเจ็บปวดจากไมเกรน
    5. กำจัดอาการเจ็บแสบในปาก ริมฝีปากและลิ้น6
    6. ทำงานร่วมกับสารอื่นๆ ในการเผาผลาญอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน

วิตามินบี3 (ไนอะซิน)

  • วิตามินบี3 หรือ ไนอะซิน สำหรับชื่ออื่นๆได้แก่ ไนอะซินาไมด์, กรดนิโคตินิก, นิโคตินาไมด์
  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ ไข่ ปลา เนื้อไม่ติดมัน เนื้อขาวจากพวกสัตว์ปีก ตับ โฮลวีต จมูกข้าวสาลี ถั่วลิสง อะโวคาโด อินทผลัมลูกพรุน มะเดื่อฝรั่ง บริเวอร์ยีสต์
  • ปริมาณที่แนะนำให้คุณรับประทานต่อวันคือ 13-19 มิลลิกรัม
  • โรคจากการขาดวิตามินบีชนิดนี้ ได้แก่ โรคเพลลากร้า (Pellagra) ลักษณะอาการคือเป็นผื่นผิวหนังอักเสบรุนแรง
  • ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด
    1. อาจมีแนวโน้มเป็น โรคเกาต์ หรือมีอาการปวดตามข้อได้ หากในร่างกายคุณมีไนอะซินมากเกินไป
    2. ผลข้างเคียงอาจมีอาการร้อนวูบวาบ หน้าแดง คันตามตัว เมื่อรับประทานเกินกว่า 100 mg.
    3. ไม่ควรให้สัตว์กินไนอะซิน โดยเฉพาะสุขนัข เพราะอาจมีอาการเหงื่อออก ร้อนวูบวาบตามตัว และสร้างความอึดอัดแก่สัตว์เลี้ยงได้
    4. ทำให้ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานมีปัญหาต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือด หรือส่งผลให้อาการของโรคเบาหวานรุนแรงขึ้นได้และอาจทำตับทำงานผิดปกติได้ เพราะไนอะซินในร่างกายที่มีสูงมากเกินไปจะส่งผลต่อการควบคุมน้ำตาลในร่างกาย
  • ประโยชน์ของวิตามินบี 3
    ประโยชน์ของวิตามินบีรวม
    1. ช่วยบำรุงผิวพรรณ
    2. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
    3. ช่วยเผาผลาญไขมัน และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น บรรเทาปัญหาต่างๆ ของระบบย่อยอาหาร
    4. บรรเทาอาการปวดศีระษะจากไมเกรน
    5. ลดอาการวิงเวียนศีรษะของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
    6. เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยลดความดันโลหิต
    7. ช่วยรักษาอาการร้อนในและกลิ่นปาก
    8. บรรเทาอาการท้องร่วง
    9.ช่วยเพิ่มพลังงานที่ได้จากการย่อยและเผาผลาญอาหาร

วิตามินบี5 (กรดแพนโทเทนิก)

  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ เนื้อสัตว์ ไก่ ตับ ไต หัวใจ ธัญพืชไม่ขัดสี รำข้าว จมูกข้าวสาลี ถั่ว ผักสีเขียว กากน้ำตาลไม่บริสุทธิ์ บริเวอร์ยีสต์
  • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานสำหรับผู้ใหญ่คือ 10 mg. ต่อวัน
  • โรคจากการขาดวิตามินบี5 ได้แก่ โรคไฮโปไกลซีเมีย (Hypoglycemia) หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นแผลในลำไส้เล็ก โรคเลือด โรคผิวหนัง
  • ประโยชน์ของวิตามินบี 5
    1. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
    2. ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
    3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
    4. ช่วยในกระบวนการรักษาแผล
    5. ช่วยรักษาอาการช็อกหลังการผ่าตัด
    6. ช่วยป้องกันการอ่อนเพลียของร่างกาย
    7. ช่วยลดความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบในผู้ป่วยบางรายได้
    8. ช่วยรักษาอาการเหน็บชาที่มือและเท้า
    9. ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย

วิตามินบี6 (ไพริด็อกซิน)

  • วิตามินบี6 หรือ ไพริด็อกซิน เป็นคำที่ใช้เรียกรวมกันของกลุ่มสารที่มีโครงสร้างคล้ายกันและทำงานร่วมกัน ซึ่งประกอบไปด้วย ไพริด็อกซิน ไพริด็อกซาล และไพริด็อกซามีน
  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ บริวเวอร์ยีสต์ รำข้าว จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี ถั่วลิสง ถั่วเหลือง วอลนัท กะหล่ำปลีกากน้ำตาล แคนตาลูป ไข่ ตับ ปลา
  • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 1.6 – 2 mg.
  • ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด อาจเกิดอาการกระสับกระส่ายในเวลานอน ฝันเหมือนจริงเกินไป เท้าชาและมีอาการกระตุก สำหรับผู้ที่รับประทานขนาด 2,000 – 10,000 mg. ทุกวันอาจทำให้เกิดปัญหาต่อระบบประสาทได้ ขอแนะนำว่าควรรับประทานขนาดไม่เกิน 500 mg. ต่อวันจะปลอดภัยกว่า
  • โรคจากการขาดวิตามินบี6 โรคโลหิตจาง ผื่นผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมัน
  • ประโยชน์ของวิตามินบี6
    ประโยชน์วิตามินบีรวม1. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็ง
    2. ช่วยชะลอวัยได้
    3. ช่วยป้องกันการเกิด นิ่วในไต
    4. ลดความเสี่ยงต่อการเป็น โรคหัวใจ
    5. ทำให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น
    6. ช่วยเปลี่ยนรูปของทริปโตแฟน ให้เป็นวิตามินบี3
    7. ช่วยป้องกันโรคทางประสาทและโรคผิวหนังหลายชนิด8
    8. ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
    9. เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ
    10. ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในเวลากลางคืน มือชา ขาเป็นตะคริว และปลายประสาทที่แขนขาอักเสบบางชนิด
    11. ช่วยลดอาการปากแห้งและปัญหาด้านการปัสสาวะที่เกิดจากการรับประทานยาต้านอาการซึมเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก

วิตามินบี7 (ไบโอติน)

  • วิตามินบี7 (Biotin) หรือ วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ซึ่งมีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบ และจัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม
  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ ตับวัว ไข่แดง นม แป้งถั่วเหลือง เนย ถั่วลิสง บริเวอร์ยีสต์ ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี
  • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 100 – 300 mcg.
  • โรคจากการขาดไบโอติน ผมร่วง ซึมเศร้า เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรง การเผาผลาญไขมันทำงานไม่สมบูรณ์ เป็นผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณหน้าและตัว แต่ทั้งนี้ยังไม่พบผู้ที่มีอาการเป็นพิษจากการรับประทานไบโอตินเกินขนาดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
  • ประโยชน์ของไบโอติน
    1. ช่วยป้องกันผมหงอกได้ดี
    2. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะล้าน
    3. ช่วยป้องกันและบำรุงรักษาเล็บที่แห้งเปราะ
    4. ช่วยในการเผาผลาญไขมันและโปรตีน
    5. บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
    6. ช่วยบรรเทาอาการผื่นผิวหนังอักเสบ ผดผื่นคันต่างๆ

วิตามินบี9 (กรดโฟลิก)

  • วิตามินบี9 หรือ กรดโฟลิก (โฟเลต,โฟลาซิน) หรือรู้จักกันในชื่อ วิตามินเอ็ม หรือ วิตามินบีซี (Bc)
  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ ไข่แดง ตับ ผักใบเขียวเข้ม แครอท แคนตาลูป ฟักทอง เอพริคอต อะโวคาโด อาร์ติโช้ก ถั่ว แป้งไรย์แบบสีเข้มที่ไม่ผ่านการขัดสี ทอร์ทูลายีสต์
  • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานคือประมาณ 180 – 200 mcg. ต่อวัน
  • ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ปัจจุบันยังไม่พบว่ามีอาการที่เป็นพิษต่อร่างกายหากรับประทานในปริมาณมากติดต่อกัน แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการผื่นแพ้ได้บ้าง และหากร่างกายมีกรดโฟลิกมากเกินไป อาจทำให้เป็นโรคโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี12 แต่ไม่แสดงออกมา
  • โรคจากการขาดวิตามินบี9 โรคโลหิตจางแบบแมโครไซติก หรือเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ผิดปกติ
  • ประโยชน์ของวิตามินบี9
    ประโยชน์ของวิตามินบี1. ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพ
    2. ช่วยแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอได้
    3. ช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลง หากรับประทานร่วมกับพาบา และวิตามินบี5
    4. ช่วยให้เจริญอาหาร หากร่างกายอ่อนเพลีย
    5. ช่วยป้องกันแผลร้อนในได้
    6. ช่วยรักษาภาวะซีดหรือโลหิตจาง
    7. ทำงานออกฤทธิ์คล้ายยาแก้ปวด
    8. ช่วยป้องกันพยาธิในลำไส้และอาการแพ้จากอาหารเป็นพิษ
    9. ช่วยป้องกันการพิการของเด็กทารกแรกเกิด
    10. ช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร
    11. ช่วยลดระดับของกรดอะมิโนโฮโมซิสเทอีนในเลือด
    12. ชวยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้

วิตามินบี12 (โคบาลามิน)

  • วิตามินบี12 หรือ โคบาลามิน (Cobalamin) มีอีกชื่อที่รู้กันดีคือ วิตามินแดง หรือ ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin)
  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ เนื้อสัตว์เป็นหลัก และตับ ไต นม ไข่แดง ชีส ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว อาหารหมักดอง เป็นต้น
  • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 2 ไมโครกรั
  • หากร่างกายขาดวิตามินบี12 อาจทำให้เกิด โรคโลหิตจาง และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทได้
  • ประโยชน์ของวิตามินบี12
    ประโยชน์วิตามินบี1. ช่วยบำรุงประสาททำให้ระบบประสาทแข็งแรงขึ้น
    2. ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำ และการทรงตัว
    3. ช่วยบรรเทาอาการหงุดหงิด ลดความเครียด
    4. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
    5. ช่วยทำให้เด็กเจริญอาหาร
    6. ทำให้ร่างกายสามารถใช้ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตได้อย่างเหมาะสม
    7. มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
    8. ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง
    9. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่
    10. ปริมาณ 80 ไมโครกรัมต่อวันจะช่วยเสริมสร้างความแข็งของกระดูกและช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้

วิตามินบี15 (กรดแพงเกมิก)

  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ ข้าวกล้อง เมล็ดฟักทอง เมล็ดงา เมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี บริเวอร์ยีสต์
  • ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ยังไม่พบว่าหากรับประทานในปริมาณมากจะมีอาการเป็นพิษต่อร่างกาย แต่อาจมีอาการคลื่นไส้ในช่วงแรกๆ ที่เริ่มรับประทานวิตามินบี15 แต่อาการมักจะหายไปได้เองภายในไม่กี่วัน และอาจะบรรเทาอาการโดยเริ่มต้นรับประทานวิตามินบี15 หลังมื้ออาหารที่หนักที่สุดของวัน
  • โรคที่พบจากการขาดวิตามินบี15 เนื่องจากวิตามินตัวนี้ยังมีงานวิจัยค่อนข้างน้อยและจำกัด แต่มีความเป็นไปได้ว่าการขาดวิตามินบี 15 จะทำให้เกิดความผิดปกติของต่อมและเส้นประสาท โรคหัวใจ สภาวะที่ออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆได้น้อยลง
  • ประโยชน์ของวิตามินบี15
    1. ช่วยเพิ่มการตอบสนองภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    2. ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน
    3. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
    4. ช่วยบรรเทาอาการอยากดื่มสุรา
    5. ช่วยรักษาอาการเมาค้าง
    6. ช่วยปกป้องตับจากภาวะตับแข็ง
    7. เร่งการฟื้นตัวจากความอ่อนเพลีย
    8. ช่วยป้องกันอันตรายจากมลพิษต่างๆ
    9. สามารถยืดอายุของเซลล์ในหลอดทดลองได้
    10. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคหืด

วิตามินบี17 (อะมิกดาลิน)

  • วิตามินบี17 หรือ อะมิกดาลิน (Amygdalin) หรือ เลไทรล์ (Laetrile)
  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ เมล็ดพืชโดยเฉพาะเมล็ดแอปริคอต และยังมีเมล็ดอื่นๆอีกเช่น เมล็ดแตงโม เมล็ดพลับ เมล็ดถั่วอัลมอนด์เมล็ดทานตะวัน ข้าว ถั่ว รวมไปถึงถั่วแมคคาดาเมีย
  • การได้รับวิตามินชนิดนี้ในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะทำให้ตัวเย็น หรือเหงื่อออก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ มีอาการง่วงซึม หายใจติดขัด ริมฝีปากเขียว ความดันต่ำ
  • เชื่อกันว่าวิตามินชนิดนี้สามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งได้ (แต่ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่มาก และยังไม่เป็นที่ยอมรับ)
  • วิตามินชนิดนี้สามารถช่วยป้องกันความเสื่อมทางสมองได้ และสามารถช่วยทำให้ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ กลับมามีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเหมือนเดิมและสุขภาพจิตก็ดีขึ้น

พาบา (กรดพารา-แอมิโนเบนโซอิก)

  • พาบา (PABA) หรือ กรดพารา-แอมิโนเบนโซอิก เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม
  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ ตับ ไต ข้าว รำข้าว จมูกข้าวสาลี ธัญพืชไม่ขัดสี กากน้ำตาล บริเวอร์ยีสต์
  • ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ยังไม่พบว่ามีอันตรายต่อร่างกายหากรับประทานในปริมาณสูงและต่อเนื่อง แต่ไม่แนะนำให้รับประทานในปริมาณที่สูงต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน ส่วนอาการที่อาจบ่งบอกว่าในร่างกายได้รับ พาบา มากเกินไปที่พบเห็นได้บ่อยคือ คลื่นไส้อาเจียน
  • ประโยชน์ของพาบา
    1. ช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีและเนียนนุ่ม
    2. ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้
    3. ช่วยลดความเจ็บปวดจากแผลไหม้
    4. ช่วยฟื้นคืนสีผมตามธรรมชาติให้กับเส้นผม โรคจากการขาดพาบา ผื่นผิวหนังอักเสบชนิดเอ็กซีมา

โคลีน (Choline)

  • โคลีน (Choline) เป็นหนึ่งในสารที่ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และจัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม
  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ ไข่แดง เนื้อสัตว์ หัวใจ สมอง ตับ ปลา ผักใบเขียว ยีสต์ จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ถั่วเหลือง ถั่วลิสง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก
  • ยังไม่มีขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันอย่างเป็นทางการ แต่มีการประมาณว่าในวัยผู้ใหญ่สามารถรับประทานได้ประมาณ 500 – 900 mg. ต่อวัน
  • โรคจากการขาดโคลีน
    1. โรคอัลไซเมอร์
    2. ผนังหลอดเลือดแดงแข็งตัว
    3. โรคตับแข็งหรือไขมันสะสมที่ตับ
  • ประโยชน์ของโคลีน
    1. ช่วยทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย
    2. ช่วยต่อสู้กับปัญหาความจำเสื่อมในวัยสูงอายุ (ด้วยขนาด 1,000 – 5,000 mg. ต่อวัน)
    3. ช่วยรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้
    4. ช่วยในกระบวนการส่งกระแสประสาท โดยเฉพาะในสมองส่วนที่ทำงานที่ด้านความจำ
    5. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
    6. ช่วยป้องกันภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือด
    7. ช่วยลดการสะสมตัวของคอเลสเตอรอลได้
    8. ช่วยกำจัดสารพิษและยาที่ค้างในร่างกาย โดยช่วยเสริมการทำงานของตับ

อิโนซิทอล (Inositol)

  • อิโนซิทอล (Inositol) เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม
  • แหล่งอาหารที่พบได้แก่ ตับ สมองและหัวใจวัว จมูกข้าวสาลี กากน้ำตาล ถั่วลิสง ถั่วลิมาแห้ง ลูกเกด แคนตาลูป เกรปฟรุต กะหล่ำปลี บริเวอร์ยีสต์
  • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันยังไม่มีระบุอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับผู้ใหญ่สามารถรับประทานได้วันละ 500 – 1,000 mg.
  • โรคจากการขาดอิโนซิทอล
    1. ผื่นผิวหนังอักเสบชนิดเอ็กซีมา (Eczema) โดยมีลักษณะอาการคือ บวมแดง คัน ผิวหนังลอกเป็นขุย
    2. มีอาการท้องผูกได้ง่าย เนื่องจากการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวลำไส้จะทำงานผิดปกติ จึงทำอาหารให้ตกค้างในลำไส้ใหญ่
    3. อาจเกิดความผิดปกติในดวงตา เช่น ตาบอดกลางคืน ต้อกระจก ต้อหิน และการมองเห็นผิดปกติได้
    4. เกิดภาวะผมร่วงได้
    5. อาจเกิดภาวะเส้นเลือดอุดตัน หรือมีการแข็งตัวของผนังเส้นเลือดได้
    6. อาจเกิดภาวะเสื่อมและอักเสบของปลายประสาท ทำให้มีอาการชา หรือปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้าได้
  • ประโยชน์ของอิโนซิทอล
    1. ป้องกันการหลุดล่วงของเส้นผม ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง
    2. ทำให้รู้สึกสงบ ช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล
    3. สามารถช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้
    4. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมัน
    5. ช่วยปรับการสะสมของไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกาย
    6. ช่วยฟื้นฟูอวัยวะต่างๆของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้น
    7. ช่วยป้องกันผื่นผิวหนังอักเสบเอ็กซีมา