Support
www.Bhip.com
095-506-4939 , 085-737-7178 ไนท์
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2014-03-18 14:28:13.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  วิตามินบี 6

 

วิตามิน บี 6 คืออะไรนะ ?

นักวิชาการแบ่งวิตามินออกเป็น 2 ชนิดตามคุณสมบัติของวิตามิน ชนิดแรกคือวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายจะนำวิตามินไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำเป็นตัวพาไป ได้แก่ วิตามินบีรวม และวิตามินซี วิตามินบีรวมประกอบด้วยวิตามินบีหลายตัว ที่รู้จักแพร่หลายคือ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 โฟเลต และไนอะซิน ส่วนวิตามินอีกชนิดหนึ่งคือ วิตามินที่ละลายในน้ำมัน นั่นคือการที่ร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำมันเป็นตัวนำ วิตามินในกลุ่มนี้ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค

วิตามินบี 6 มีชื่อเรียกว่า Pyridoxine เป็นวิตามินประเภทละลายในน้ำ (Water- Soluble) เป็นสมาชิกสำคัญของวิตามิน บีรวม (B Complex) ใช้ในการสร้างสารสื่อประสาท (Serotonin และ Norepinephrine) และในการสร้างเยื่อหุ้มเส้นประสาท
 
 
    
มีประโยชน์ต่อร่างกาย อะไรบ้าง
 
  • ช่วยในการผลิตแอนติโบดี้ให้กับระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังช่วยในการผลิตเม็ดเลือดแดง และ อาการเจ็บหน้าอก หรือ หงุดหงิดก่อนมีประจำเดือน ช่วยลดอาการบวมในระยะก่อนมีประจำเดือน ป้องกันอาการตื่น และไม่สงบของประสาท นอนไม่หลับ ป้องกันการคลื่นไส้ระหว่างตั้งครรภ์
     
  • ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและแร่ธาตุแมกนีเซียม ช่วยในการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน มีผลในการลดระดับคอเลสเตอรอล
     
  • ช่วยรักษาสุขภาพของผิวหนังและระบบประสาท
     
  • ช่วยกำจัดโฮโมซิสเตอีนส่วนเกิน โฮโมซิสเตอีนคือกรดอะมิโนที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อมีการย่อยโปรตีน สมาคมหัวใจแห่งอเมริกาพบว่า ระดับโฮโมซิสเตอีนในเลือดสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
     
  • ช่วยเปลี่ยนไกลโคเจนในตับและกล้ามเนื้อให้เป็นพลังงาน
     
  • ช่วยในการสังเคราะห์และควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของ DNA และ RNA ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบ่งบอกพันธุกรรม
     
  • มีผลในการรักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพของอวัยวะต่าง ๆ โรคหัวใจ และเบาหวาน
     
  • มีคุณสมบัติเป็นยาขับปัสสาวะธรรมชาติ
     
  • ช่วยเสริมสร้างความสวยงาม(Beauty): วิตามินบี 6 ช่วยปรับความแปรปรวนของฮอร์โมนซึ่งเป็นตัวการก่อสิว ให้เกิดความสมดุลขึ้นมาได้ งานวิจัยหลายชิ้นให้ผลตรงกันว่า วิตามินบี 6 ช่วยลดอาการสิวกำเริบ ในช่วงก่อนมีประจำเดือน ในหญิงวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี รวมถึงอาการผิดปกติในรอบเดือนด้วย เช่น อาการร้อนวูบวาบ หงุดหงิด 
     
แหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 6

  •            
    ตับ เมล็ดแอพริคอท เมล็ดแตงโม เมล็ดพลับ เมล็ดถั่วอัลมอนด์ ถั่วแมคคาดาเมีย
               
               
    เมล็ดทานตะวัน ข้าว นม เนย ไข่ กล้วย
               

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน
  • ประมาณ 1.5-2 มิลลิกรัม ในผู้ที่ต้องการรักษาอาการต่างๆข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ ในผู้ที่ตั้งครรภ์ ไม่ควรได้รับเกินกว่า 100 มิลลิกรัมต่อวัน

ใครต้องการวิตามิน บี6 บ้างนะ
  • จะพบมากในผู้ที่รับประทานยาปฏิชีวนะ ยากันชัก ยาคุมกำเนิด แม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนม อาการที่พบจะมีอ่อนเพลีย ผิวหนังและปากมีผื่น ลิ้นอักเสบรวมทั้งโลหิตจาง กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินบี6ได้แก่

    • คนที่ได้รับอาหารไม่ได้คุณภาพเป็นเวลานาน
    • คนสูงอายุ
    • เด็กที่รับประทานยาขยายหลอดลมคือ theophyllin
    • ท้องร่วงเรื้อรัง
    • ผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง
    • ผู้ที่รับคุมกำเนิด
    • ยาที่เรารับประทาน isonicotinic acid hydrazide, cycloserine, hydralazine, penicillamine
    • ผู้ที่มีการใช้มากเช่น การติดเชื้อเรื้อรัง การอักเสบเรื้อรัง เบาหวาน คอพอกเป็นพิษ

ผลของการขาดวิตามิน B6
  • น้ำตาลในเลือดต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด นิ่วในไต ฟันผุ ติดโรคง่าย เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อาจจะเกิดผมร่วง บวมระหว่างตั้งครรภ์ เป็นรอยแตกรอบ ๆ ปาก และตา ปากเปื่อย ริมฝีปากและลิ้นเป็นแผล ชาและเป็นตะคริวที่ขา และแขน ความจำเสื่อม การมองเห็นจะไม่เป็นปกติ ประสาทอักเสบ ไขข้ออักเสบ หัวใจจะไม่ปกติ จะมีอาการเกี่ยวกับประสาทด้วย กระวนกระวาย ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ซึมเศร้า มือเท้าตายเป็นการชั่วคราว ปัสสาวะมากกว่าปกติ ถ้าปล่อยให้ขาดวิตามิน บีหก ตลอดเวลาที่ตั้งครรภ์อาจจะทำให้เด็กตายในท้องก่อนคลอด หรือเด็กอาจจะมีอาการชักแล้วแท้ง ดังนั้นสำหรับหญิงมีครรภ์ควรจะแน่ใจว่าได้ วิตามิน บีหก เพียงพอเพื่อว่าเด็กในท้องจะได้รับวิตามินชนิดนี้พอเพียง บางคนเกิดโลหิตจางแบบ Microcytic hypochromic anemia คือเม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กซึ่งรักษาโดยให้เหล็ก กรดโฟลิค หรือวิตามิน บีสิบสอง ไม่ได้ผล แต่ถ้าให้วิตามิน บีหก รักษา อาการจะหายไป บางคนมีอาการแสดงของคราบไขมันที่ผิวหนังบริเวณรอบตา บริเวณคิ้ว และมุมปาก (Seborrheic dermatitis) เด็กที่ขาดวิตามิน บีหก จะมีอาการชัก มีอาการอักเสบของประสาทชั่วขณะแต่ไม่รับรองว่าถ้าชักบ่อย แล้วทำให้เกิดความพิการของสมองหรือไม่
ข้อแนะนำ
จากการศึกษาพบว่าถึงแม้ฉีดเข้าเส้นไปในปริมาณ 200 มิลลิกรัม ก็ไม่มีพิษเกิดขึ้นและการได้รับทางปากในปริมาณ 100 - 300 มิลลิกรัมต่อวัน ก็ไม่ปรากฎว่าการเป็นพิษเกิดขึ้นเช่นกัน แต่ถ้ากินขนาดเป็นกรัม หลายเดือน เช่นขนาด 6 กรัมนาน 2 เดือน เพื่อรักษาอาการปวดท้องก่อนการมีประจำเดือน จะมีผลต่อระบบประสาท มีอาการเดินเซ รอบ ๆ ปาก มือ และเท้าชา ตรวจร่างกายพบว่าเสียความรู้สึกในการรับรู้ตำแหน่งการสั่นสะเทือนของปลายแขนและขา ความเจ็บปวด ความรู้สึกร้อน การรับรู้สัมผัส และการสะท้อน (Reflex) อาการจะดีขึ้นเมื่อหยุดวิตามิน B6 แล้ว 6 เดือน

guest

Post : 2014-03-18 14:25:46.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  วิตามินบี 3

 วิตามินบี 3 Vitamin B3 อยู่ในกลุ่มวิตามินบี B-Complex หรือเรียกกันว่า ไนอาซิน Niacin เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กรดนิโคตินิก Nicotinic acid

การขาดวิตามินบี3 อาจก่อให้เกิดความเสียหายทางพันธุกรรม(DNA) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อความสามารถป้องกันโรคมะเร็ง

ไนอาซินมีส่วนสำคัญในการสร้างพลังงานให้กับร่างกาย โดยการแปลงไขมันและคาร์โบไฮเดรต 

ไนอาซินยังถูกใช้ในการสังเคราะห์แป้งให้เป็นพลังงาน และเก็บไว้ในกล้ามเนื้อและตับเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองของร่างกาย 

 

และจากการศึกษาพบว่า การได้รับ Vitamin B3 ในปริมาณสูงๆ สามารถลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้

วิตามินบี 3 Vitamin B3 สามารถเพิ่มการสร้างคอลลาเจน collagen และ Lipid ในผิวหนังของร่างกายเรา และยับยั้งการสร้างสารเมลานิน Melanosome ซึ่งเป็นตัวเร่งทำให้ผิวสีเข้มขึ้น ลดการอักเสบ การไหม้ของผิวหนัง Inflammation เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งที่ผิวหนัง

ไนอาซิน เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำได้น้อยที่สุด มีเสถียรภาพมาก สามารถคงทนต่อแสง ความร้อน ความชื้น สภาพกรด-ด่างได้เป็นอย่างดี

ด้วยคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพ และหาได้ไม่ยาก จึงมีการนำไนอาซิน หรือ วิตามิน บี3 ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือเครื่องสำอาง บำรุงผิว กันแพร่หลาย

egg and wholewheat bread

ประโยชน์ของ วิตามินบี3 หรือ ไนอาซิน

  • เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ Antioxidant ช่วยต่อทำลายพิษหรือ ท็อกซินจากมลพิษ ลดความอยากดื่มแอลกอฮอล์ และ ยาเสพติด
  •  

  • ช่วยลดการสร้างเมลานินที่ทำให้สีผิวเข้มขึ้น ผิวไม่คล้ำมีแนวโน้มเป็น Whitening ช่วยลดการอักเสบของผิว เพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมความแข็งแรงาของชั้น Lipid ที่ป้กป้องผิว
  •  

  • ช่วยรักษาโรคปวดหัวไมเกรน
  • รักษาโรคทางจิตและโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง
  •  

  • ช่วยให้อาการต่างๆ ของผู้ป่วยเบาหวานดีขึ้น
  •  

  • ช่วยลดความดันโลหิตสูง และ ลดโคเรสเตอรอล ลดไขมันเลว LDL
  •  

  • อาจจะช่วยลดการผลิตน้ำมันของผิวได้ แต่ยังไม่มีใครสามารถอธิบายการทำงานของมันได้ 
    และที่สำคัญ VITAMIN B3 ไม่สามารถสร้างขึ้นได้เองในร่างกายของคนเรา แต่สามารถรับ ได้จากอาหารหรือผิวหนังเท่านั้น แหล่งอาหารที่มี VITAMIN B3 คือ ชะอม ถั่ว เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ จมูกข้าว ขนมปังโฮลมีล

guest

Post : 2014-03-18 14:22:35.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  วิตามินบี 2

 วิตามินบี 2 หรือ ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) เป็นหนึ่งใน 8 ชนิดของวิตามินบีที่มีความจำเป็นและมีความสำคัญ

ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก โดยมีบทบาทในการเร่งปฏิกิริยาในขบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน

วิตามินบี 2 เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ (เช่นเดียวกับวิตามิน B อื่นๆ) จึงไม่มีการสะสมในร่างกาย หากได้รับ
มากเกินไป ร่างกายจะขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ จึงมักไม่ค่อยพบอาการเป็นพิษจากการได้รับวิตามินบี 2 
มากเกินไปค่ะ

นอกจากวิตามินบี 2 จะมีส่วนช่วยในการสร้างพลังงานให้กับร่างกายแล้ว ยังมีบทบาทในการทำหน้าที่เสมือน
สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) เพราะจะไปทำให้อนุมูลอิสระ (free radicals) ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอันเป็น
ตัวทำลาย DNA และทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพนั้นมีจำนวนลดลง และวิตามินบี 2 ยังมีส่วนช่วยร่างกาย
ในการแปลงวิตามินบี 6 และโฟเลตให้อยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถนำไปใช้งานได้อีกด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ
อย่างมากสำหรับการเจริญเติบโตและการสร้างเม็ดเลือดของร่างกาย 

หากได้รับวิตามินบี 2 ไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้ร่างกายอ่อนล้า เติบโตช้า มีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหาร มุมปาก
มีแผลแตกหรือที่เรียกว่าปากนกกระจอก ลิ้นบวมช้ำ สายตาอ่อนล้า คอบวมและเจ็บ และทำให้ร่างกายมีปฏิกิริยา
ที่ไวต่อแสงได้

วิตามินบี 2 พบมากในอาหารที่มีการหมักของยีสต์ (เช่น ขนมปัง) อัลมอนด์ เนื้อสัตว์ ธัญพืชไม่ขัดสี จมูกข้าวสาลี 
เห็ด ถั่วเหลือง นม โยเกิร์ต ไข่ ผักกะหล่ำปลีและผักโขม ปัจจุบันผลิตภัณฑ์จากแป้ง (เช่น ขนมปัง) และอาหารเช้า
แบบซีเรียลส่วนใหญ่ก็มีมักจะมีการเสริมวิตามินบี 2 เข้าไปด้วย

วิตามินบี 2 ถูกทำลายได้ด้วยแสงแต่ไม่ถูกทำลายด้วยความร้อน แต่อาจมีการสูญสลายไปในน้ำเมื่อมีการต้มหรือล้าง
ได้ค่ะ การย่างและการนึ่งอาหารจะช่วยให้สูญเสียวิตามินบี 2 น้อยกว่าการทอดหรือการลวกนะคะ

ปริมาณวิตามินบี2 ที่ลูกน้อยควรได้รับต่อวันได้แก่ 

          •  แรกเกิด-6 เดือน: 0.3 mg

          •  ทารก 6-12 เดือน: 0.4 mg

          •  เด็ก 1-3 ปี: 0.5 mg

          •  เด็ก 4-8 ปี: 0.6 mg

          •  เด็ก 9-13 ปี: 0.9 mg

อย่างไรก็ตาม การจะให้ลูกน้อยกินวิตามินเสริมใดๆ นั้น คุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาคุณหมอก่อนนะคะ เพื่อ
จะได้ทราบว่ามีความจำเป็นต้องให้ลูกน้อยได้รับวิตามินเสริมหรือไม่ และหากจำเป็นคุณหมอจะสามารถบอก
ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับลูกน้อยได้ค่ะ

 

 

guest

Post : 2014-03-18 14:16:19.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  วิตามินบี 1

 

วิตามิน บี1 กับสมองของเรา

 

วิตามิน บี1 หรือ ไทอะมิน



-เริ่มต้นเพื่อน ๆ ก็คงจะงงกันว่า วิตามิน บี1 มันไปเกี่ยวข้องอะไรกันกับ สมองของเรา คุณเคยได้ยินไหมว่าถ้ากินข้าวเช้าแล้วจะช่วยให้เรามีความจำดีขึ้น นี้ก็คือประโยชน์ของวิตามิน บี1 อีกอย่างหนึ่ง สำหรับวิตามิน บี1 ร่างกายของเราไม่ได้ต้องการมากมายแต่ต้องการสม่ำเสมอ ถ้าเพื่อน ๆ เป็นคนหนึ่งที่มีอาการปวดหัวบ่อย ๆ หรื่อรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า ลองสำรวจดูว่าคุณขาด"วิตามิน บี1" อยู่หรือเปล่า เรามาดูกันว่าวิตามิน บี1 ได้มาจากแหล่งใหนบ้างและมีประโยชน์กับร่างกายอย่างไร


ปรโยชน์ วิตามิน บี1

  • เสริมความจำ อย่างที่ healthdeena ได้พูดไปในตอนแรกแล้วว่าการกินข้าวเช้าช่วยให้เรามีความจำดีขึ้น ก็เพราะ เราต้องการน้ำตาลกลูโคสในเลือด มาร่วมกับวิตามิน บี1 เพื่อผลิตเจ้าสารอะซิทิลคอลีน ที่มีหน้าที่สำคัญในการจำและทำให้เรามีสมาธิด้วย
  • โรคอัลไซเมอร์ เพื่อน ๆ คงจะคุ้นกับชื่อของโรคนี้ คือ "โรคอัลไซเมอร์" ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับคนชรา จะมีอาการหลงลืม จำเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ได้ มีการศึกษา ค้นคว้าและพบว่าวิตามิน บี1 ช่วยชะลอและป้องกัน การเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้

แหล่งที่จะได้มาซึ่ง วิตามิน บี1


ร่างกายของเราต้องการ วิตามิน บี1 เพียงแค่ 3.5 - 9.2 มิลลิกรัม เท่านั้น วิตามิน บี1 ได้มาจากแหล่งใหนบ้างมาดูกันเลย

  • ยีสต์สกัด จะมี วิตามิน บี1 4.25 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ถั่วลันเตา จะมี วิตามิน บี1 0.89 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • สัม จะมี วิตามิน บี1 0.70 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • คอร์แฟลกจะมี วิตามิน บี1 0.65 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • เนื้อหมูติดซี่โครง จะมี วิตามิน บี1 0.48 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • พาสต้าข้าวซ้อมมือ จะมี วิตามิน บี1 0.43 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ขนมปังโฮลมีล จะมี วิตามิน บี1 0.37 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ไข่แดง จะมี วิตามิน บี1 0.30 มิลลิกรัม/100 กรัม
  • ขนมปังขาวจะมี วิตามิน บี1 0.21 มิลลิกรัม/100 กรัม

อาการของคนขาด วิตามิน บี1


คนที่ขาด วิตามิน บี1 จะัเป็นโรค เบอริเบอริ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็หาได้ยาก และอีกโรคหนึ่งที่จะขาดวิตามินนี้ก็คือ โรคพิษสุราเรื้อรัง ถ้าเพื่อน ๆ อยากรู้ว่า ขาดวิตามิน บี1 อยู่หรือเปล่าเราจะมาดูอาการของมันกัน
  1. ทำงาน หรือออกกำลังกาย ก็จะรู้สึกเหนื่อยง่าย
  2. มีอาการซึมเศร้า ไม่ร่าเริง
  3. ความจำจะไม่ค่อยดี ทำอะไรไปเมื่ีอสักครู่ก็ลืมแล้ว
  4. ปวดหัวบ่อย ๆ
  5. คลื่นไส้ อาเจียน
  6. มือ เท้า เป็นเหน็บ

- การได้รับสารอาหารที่มากเกินไปก็ทำให้ร่างกายเราไม่แข็งแรง และบ้างทีก็มีโรคภัยมาเบียดเบียนอีกด้วย healthdeena ขอแนะนำให้เพื่อน ๆ กินวิตามิน บี1 ไม่เกิน 3 กรัมต่อวัน ถ้าเรากินเกินนี้ก็จะทำให้ชีพจรเราเต้นเร็วผิดปกติ หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ ปวดหัว และตามมาด้วยสุขภาพอ่อนแอนะ

guest

Post : 2014-03-18 14:12:18.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  วิตามินเอ


วิตามินเอ (Vitamin A) 
เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ค้นพบโดย ดร. อี.วี. แมคคอลลัม (E.V. McCollum) นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐอเมริกา  ร่างกายของเราสามารถสะสมวิตามินเอได้นานมาก อาจนานได้ถึง 1 หรือ 2 ปี โดยเก็บไว้ในชั้นเซลล์ไขมัน

วิตามินเอมีหน้าที่ช่วยในการมองเห็น การเจริญเติบโตของกระดูก การแบ่งตัวของเซลล์ การกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ซ่อมแซมผิวของตาและหลอดลมทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายยากขึ้น และยังกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวโดยเฉพาะ lymphocyte ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และระบบสืบพันธุ์ นอกจากนี้ ยังป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ ทำให้ผิวและผมแข็งแรง

หน้าที่ของวิตามินเอ

  • เป็นส่วนประกอบสำคัญของ cornea และยังมีผลต่อการเจริญเติบโต การสร้างกระดูก และระบบสืบพันธ์ นอกจากนี้ยังป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ ทำให้ผิวและผมแข็งแรง Beta carotene (หรือ pro vitamin A) ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามิน A ในร่างกาย Beta carotene เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสามารถชะลอความแก่ได้
  • ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness)
  • ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง
  • สร้างความต้านทานให้ระบบหายใจ
  • ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
  • ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดการอักเสบของสิว และช่วยลบจุดด่างดำ
  • ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์

ชนิดของวิตามินเอ

  • Retinol เป็นวิตามินเอ ที่พบในสัตว์เช่นตับ นม เป็นวิตามินที่ออกฤทธิ์ได้ทันที Retinol อาจจะเปลี่ยนเป็น Retinal retinoic acid ซึ่งเป็นรูปแบบวิตามินอีกชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ทันที
  • Provitamin A carotenoids เป็นวิตามินที่ต้องเปลี่ยนแปลงในร่างกายก่อนที่จะออกฤทธิ์ เป็นรูปแบบวิตามินเออีกชนิดหนึ่ง พบในพืชใบเขียวซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ในธรรมชาติ Provitamin A carotenoids อยู่ได้หลายรูปแบบได้แก่ beta-carotene, alpha-carotene, lutein, zeaxanthin, lycopene, and cryptoxanthin , วิตามินเอชนิด beta-carotene จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ retinol และออกฤทธิ์ได้ดี แต่ alpha-carotene, lutein, zeaxanthin จะออกฤทธิ์ได้ประมาณครึ่งหนึ่งของ beta-carotene แต่ lycopene, cryptoxanthin จะไม่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอ

อาหารที่มีวิตามินเอมาก

Retinol เป็นวิตามินเอ ที่พบในสัตว์เช่น ไข่ นม ตับ นมพร่องมันเนยจะมีวิตามินเอต่ำเพราะวิตามินเอละลายในไขมัน ดังนั้นนมพร่องมันเนยจึงต้องเติมวิตามินเอ วิตามินเอจากสัตว์จะดูดซึมได้ดี

วิตามินเอที่มาจากพืชใบเขียวจะดูดซึมไม่ดีเท่าวิตามินที่มาจากสัตว์ พืชใบเขียวจะมีวิตามิน Provitamin A carotenoids มาก

ผักผลไม้ที่ให้วิตามินเอส่วนใหญ่จะมีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เพราะมีเบต้าแคโรทีนและแคโรนอยด์ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอต่อไป เนื่องด้วยวิตามินเอในผักผลไม้มีความไวต่อออกซิเจนมาก ดังนั้นวิธีการต้มที่ป้องกันการสูญเสียวิตามินได้ดีทีสุดคือ ควรปิดฝาภาชนะขณะต้มและใส่น้ำน้อยๆ

ร่ายกายต้องการวิตามินเอในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU

แหล่งวิตามินในธรรมชาติ        

จำนวน                       

ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ

ผักตำลึง

น้ำหนัก 100 กรัม

18,608 IU

ยอดชะอม

น้ำหนัก 100 กรัม

10,066 IU

คะน้า

น้ำหนัก 100 กรัม

9,300 IU

แครอท

น้ำหนัก 100 กรัม

9,000 IU

ยอดกระถิน

น้ำหนัก 100 กรัม

7,883 IU

ผักโขม

น้ำหนัก 100 กรัม

7,200 IU

ฟักทอง

น้ำหนัก 100 กรัม

6,300 IU

มะม่วงสุก

1 ผล(โดยเฉลี่ย)

4,000 IU

บรอกโคลี

1 หัว(โดยเฉลี่ย)

3,150 IU

แคนตาลูบ

น้ำหนัก 100 กรัม

3,060 IU

แตงกวา

1 กิโลกรัม

1,750 IU

ผักกาดขาว

น้ำหนัก 100 กรัม

1,700 IU

มะละกอสุก

1 ชิ้นยาว(โดยเฉลี่ย)

1,500 IU

หน่อไม้ฝรั่ง

น้ำหนัก 100 กรัม

810 IU

มะเขือเทศ

น้ำหนัก 100 กรัม

800 IU

พริกหวาน

1 เม็ด(โดยเฉลี่ย)

500-700 IU

แตงโม

1 ชิ้นใหญ่

700-1,000 IU

กระเจี๊ยบเขียว

น้ำหนัก 100 กรัม

470 IU

อาการขาดวิตามินเอ

  • โรคผิวหนัง เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนสำคัญในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง ขาดวิตามินเอทำให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น หยาบกร้าน แห้งแตก โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณข้อศอก ตาตุ่มและข้อต่อด่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคผิวหนัง เช่น สิวและโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้
  • ตาฟาง หน้าที่ของวิตามินเอคือช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้
  • ความต้านทานโรคต่ำ วิตามินเอเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานตามปกติ การขาดวิตามินเอจึงทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และที่ต่อมน้ำลาย

อันตรายจากการได้รับวิตามินเอเกิน

  • แท้งลูกหรือพิการ หญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามินเอมากเกินไปมีความเสี่ยงต่อภาวะทารกในครรภ์คลอดออกมาพิการหรือแท้งได้ เนื่องจากวิตามินเอมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้เด็กมีความผิดปกติที่ทางเดินปัสสาวะ กระดูกผิดรูป หรือมีติ่งปูดออกมาที่บริเวณหู
  • อ่อนเพลีย หากร่างกายได้รับวิตามินเอเกินครั้งละ 15,000 ไมโครกรัม จะมีผลทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและอาเจียนได้
  • เจ็บกระดูกและข้อต่อ เบื่ออาหาร เซื่องซึม นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ผมร่วง ปวดศีรษะ ท้องผูก ทั้งหมดนี้เป็นโทษในระยะยาวที่เกิดจากการรับประทานวิตามินเอมากเกินไป
  • ในสัตว์กระเพาะเดี่ยวเมื่อได้รับเกินความต้องการ 4-10 เท่า จะทำให้โครงกระดูกผิดปกติ
  • ในสัตว์เคี้ยวเอื้องเมื่อได้รับเกิน 30 เท่า จะเกิดอาการผิดปกติ

สิวกับวิตามินเอ

ในแง่ของสุขภาพผิวและความสมดุลของฮอร์โมนนั้น วิตามินเอ มีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยได้มีงานวิจัยยืนยันว่าผู้ที่เป็นสิวรุนแรงนั้นมีระดับวิตามินเอ ในเลือดต่ำ มีรายงานว่า หญิงที่มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลและเป็นสิว เมื่อได้รับได้รับอาหารเสริมวิตามินเอ สิวก็สามารถหายภายในไม่กี่สัปดาห์ รวมถึงรอยแผลสิวก็เริ่มลดลงหลังจากได้รับอาหารเสริมวิตามินเอ 2 สัปดาห์ 

ประโยชน์ของวิตามินเอ กับการเพาะกาย

  • มีส่วนในการสังเคราะห์โปรตีน ซึ่งเป็นกระบวนการหลักสำหรับการเติบโตของมวลกล้ามเนื้อ
  • มีส่วนในกระบวนการสะสมไกลโคเจน ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำรองหลักของร่างกายเรา

 

 

  •  

guest

Post : 2014-03-18 14:03:59.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  เคล็ดไม่ลับ “กินวิตามินซี” อย่างไร? ได้ให้ผล

 

เคล็ดไม่ลับ “กินวิตามินซี” อย่างไร? ได้ให้ผล

สาว ๆ หลายคนปฏิเสธไม่ได้ว่ารับประทาน “วิตามินซี”  อยู่  บางคนรับประทานเพื่อต้องการผิวที่ขาวขึ้น  บางคนเลือกรับประทานเป็นอาหารเสริมดูแลสุขภาพและป้องกันหวัด  ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร? จุดประสงค์เดียวกันก็คือ ทำอย่างไรให้วิตามินซีมีประสิทธิภาพสูงที่สุดหลังจากรับประทานเข้าไปแล้วนั่นเอง  เราขอแนะนำเคล็ดไมลับ “กินวิตามินซี”อย่างไรให้มีประสิทธิภาพที่สุดมากฝากดังนี้

1. วิตามินซีละลายในน้ำ  ดังนั้นเมื่อรับประทานวิตามินซีแล้วต้องดื่มน้ำเยอะๆ  จะดีต่อสุขภาพและผิวพรรณอย่างมาก  เพราะวิตามินซีสามารถลดสารอนูมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของริ้วรอยก่อนวัยจากมลภาวะ  และทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวลขึ้น (เป็นที่มาว่ากินวิตามินซีแล้วผิวขาว)  ทั้งนี้สามารถช่วยลดอันตรายจากแสงแดดในแต่ละวันได้ดีอีกด้วย  รวมถึงสามารถกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้ปรับสภาพคอลลาเจนในผิวให้ดีขึ้น จนผิวดูกระจ่างใสนั่นเอง

 

2รับประทานวิตามินซีในช่วงเช้าดีที่สุด   เมื่อตื่นนอนมาร่างกายของเรายังไม่ได้รับสารอาหาร  หากเราเลือกรับประทานวิตามินซีก่อนอาหารเช้าจะทำให้ซึมสู่ร่างกายได้ดีมากกว่าช่วงอื่นๆ  ดังนั้นแนะนำว่าลองวิตามินซีวันละ 1 เม็ดดูสิ… สักอาทิตย์จะเห็นความแตกต่างแน่นอน

3. ปริมาณที่ดีที่สุดคือ 500 MG  รู้หรือไม่ว่า?  หากเราจะรับประทานอาหารเสริมอย่างวิตามินซี ควรเลือกที่เม็ดละ 500 MG จะดีที่สุด  เพราะร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินซีในแต่ละวันได้เท่านี้จริงๆ   หากรับประทานเกินกว่าร่างกายก็ต้องขับออกผ่านไปทางไต  ทีนี้ไตก็จะทำงานหนักและเสี่ยงต่อผลกระทบอื่นๆ ตามมา แนะนำว่า ให้เลือกรับประทานน้อยๆ เม็ดละ 500 MG ก็พอจ้า..

 

guest

Post : 2014-03-18 14:00:16.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  อาหารบำรุงผิวสวยที่สาวสวยต้องไม่พลาด

 ในบรรดาอาหารเราเคยรับประทาน   รู้หรือไม่ว่าอาหารบางอย่างนั้นมีคุณค่ากับผิวพรรณมากมาย หากต้องการมีผิวดีสวยเนียนใส  จะพึ่งแต่ครีมบำรุงอย่างเดียวก็คงไม่พอ  เพราะต้องดูแลจากภายในด้วย ดังนั้นอาหารบำรุงผิวแบบไหนที่สาวๆ ต้องไม่พลาด  และต้องหามารับประทานเพื่อบำรุงผิวดูดีขึ้นได้ดังนี้

1.             ปลาแซลมอนฟื้นฟูผิวพรรณ  รู้ไหมว่า ปลาแซลมอนนั้น  เป็นเนื้อสัตว์ที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมกา 3 ที่จะสามารถช่วยเพิ่มความต้านทานให้กับชั้นปกป้องผิวได้มากขึ้น   เป็นแหล่งอาหารต้านความแก่ก่อนวัยได้ดีเยี่ยม มีวิตามินดีป้องกันผิวจากมลภาวะรอบด้าน  และสารซีลีเนียม (Selenium) ที่ไม่ทำให้อายุเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับคุณเพราะชะลอความชราได้ แถมยังป้องกันความเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้ดีอีกด้วย

2.             ถั่วเพิ่มความชุ่มชื้น  โดยเฉพาะ ถั่วลิสง ถั่ววอลนัต และอัลมอนต์นั้นถือว่าเป็นธัญพืชยอดฮิต  เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบีที่สามารถทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น  ทำให้หน้าไม่ซีด แต่กลับคืนผิวหน้าที่แลดูมีสุขภาพดีให้แก่คุณแบบอมชมพูเลือดฝาด  เพิ่มการต้านทานการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง  และที่สำคัญคือ เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวให้นุ่มนวลอีกด้วย หากรับประทานถั่ววันละ 1 กำมือต่อวันจะยิ่งส่งผลดีต่อผิวมากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะสาวผิวแห้ง

3.             น้ำมันมะกอกเพิ่มความอ่อนเยาว์  หากสาวๆ จะปรุงอาหารเองแนะนำให้เพิ่มน้ำมันมะกอกเข้าไปในเมนูด้วยเพราะเป็นแหล่งอาหารที่เต็มไปด้วยวิตามินเอและวิตามินอี  ช่วยดูแลผิวโดยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ สามารถป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ทำให้ผิวดูอ่อนวัย มีความชุ่มชื้นและเนียนนุ่มได้อีกด้วย

4.             น้ำสะอาดดีท็อกซ์ของเสีย การรับน้ำบริสุทธิ์ในปริมาณที่เพียงพอแก่ร่างกาย เพียงวันละ 2 ลิตรย่อมส่งผลดีต่อผิวพรรณของคุณ เพราะจะช่วยพาของเสียออกจากร่างกายได้มากขึ้นผ่านทางเหงื่อและปัสสาวะ  ทำให้ผิวพรรณสวยขึ้นจริง  แบบสังเกตเห็นถึงความแตกต่างเลยทีเดียว

 

guest

Post : 2014-03-18 13:58:20.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  4 เทคนิคอัพสูงแบบไม่พึ่งส้นสูง

 เกิดมาทั้งที่ก็อยากสูงเหมือนคนอื่น  กรรมพันธุ์ร่างเล็กก็พาให้น้อยใจเวลาเห็นเพื่อนใส่กระโปรงยาว  สาวตัวเล็กอย่าเพิ่งหมดความหวัง   วันนี้มีเคล็ดลับดีๆ  5 วิธีเพิ่มความสูงแบบไม่ต้องพึ่งรองเท้าส้นสูงมาฝาก..

1. เลือกอาหารที่ช่วยบำรุงกระดูกเสริมตัวสูง   ได้แก่  โยเกิร์ต  ชีส เต้าหู้ เมล็ดทานตะวัน ถั่วเหลือง และงาดำที่มีแคลเซียมมากกว่านมถึง 6 เท่า  คุณค่าของอาหารเหล่านี้จะทำให้กระดูกแข็งแรง  รวมไปถึงจำพวกวิตามินดีเช่นน้ำมันตับปลา  ตับ ไข่แดง ปลาทู  และปลาแซมอน  ที่จะทำให้ดูดซึมแคลเซียมจากอาหารที่เรารับประทานได้ดีกว่าเดิม

2. ดื่มนมทุกวัน   ด้วยคุณค่าของนมจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรง  และเชื่อกันว่าจะทำให้สูงขึ้นได้  ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 3 กล่อง  และอาจตามด้วยแคลเซียมวันละ 1 เม็ดก็ได้

3. ยืดร่างกายด้วยกีฬา   ร่างกายไม่ว่าจะเกิดมาแบบใด  แต่ด้วยพรแสวงจากกีฬาสามารถพัฒนาร่างกายให้มีรูปร่างสมส่วนได้  เช่น กีฬาบาสเกตบอล วอลเลย์บอล  โหนบาร์  กระโดดเชือก  กระโดดสูง อย่างน้อยครั้งละ 30 นาทีถึง 1 ทำติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน โดยแนะนำว่าหากเลือกการกระโดดควรย่อเข่าก่อนเพื่อส่งแรงกระโดด และให้เหยียดแขนขึ้นไปในอากาศด้วย  ย้ำ อย่าลืมย่อเข่า  เพราะถ้าลืมย่อเข่าจากอัพสูง จะกลายเป็นข่อเสื่อมนะ จะหาว่าไม่เตือน..

4. เพิ่มสูงช่วยกระดูกสันหลังส่วนคอ  เราสามารถบริหารร่างกายด้วยการกดคางให้แตะหน้าอก และค้างเอาไว้ราว 10 วินาที  และกดหูโน้มลงไปที่ไหล่ราว 10 วินาทีเช่นกัน ทำวันละ 15 ครั้งจะช่วยให้ช่วงคอไม่ตีบตัน

guest

Post : 2014-03-18 13:57:24.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  เรื่องจริงน่ารู้ของโรคเบาหวาน!!

 ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นทุกปี   อันตรายจากโรคร้ายนี้คร่าชีวิตผู้คนและสร้างความเสียใจให้กับญาติพี่น้อง  การรู้ทันโรคเบาเหวานจึงเป็นทางออกสำหรับการดูแลตนเองให้มีสุขภาพที่ดี  และเพื่ออายุที่ยืนยาวสามารถอยู่กับคนที่เรารักได้นานๆ

 

1.  นอนวันละ 8 ชั่วโมงต่อวันป้องกันเบาหวาน  ถ้าเราอายุมากขึ้น  ก็นอนน้อยลงได้  ไม่ใช่ความเชื่อที่ถูกต้องและไม่ดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง  การพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอจะป้องกันคุณจากโรคเบาหวานที่ 2 ได้   จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งพบว่า  การนอนหลับนอนกว่าคืนละ 6 ชั่วโมง  จะเข้าไปสร้างภาวะน้ำตาลในเลือดสูงของร่างกาย  เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน 4-5 เท่า  ผลการวิจัยจึงเชื่อว่า หากคนเราอดนอนแล้ว  ระบบการผลิตอินซูลินจะถูกรบกวน และระบบการย่อยสลายน้ำตาลในร่างกายก็แย่ลงอีกด้วย

2. กินองุ่นแดงลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน  ในองุ่นแดงมีสารตัวหนึ่งคือ  สารเรสเวอราทรอล   เป็นสารที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี เพราะไปกระตุ้นเซอร์ทูอิน หรือเซิร์ท-1  ซึ่งเป็นสารโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับหลายกระบวนการในร่างกาย  รวมถึงกระบวนการควบคุมน้ำตาล และยังมีผลต่ออินซูลินด้วย   พร้อมทั้งให้ขนาดสูงหากอยู่ในร่างกายมนุษย์  ดังนั้นจึงเชื่อว่า  หากรับประทานองุ่นแดงแล้ว คนเป็นโรคเบาหวานก็จะมีอาการดีขึ้น  จนกระทั่งถูกนำไปทดลองใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวานอีกด้วย

โรคเบาหวานเป็นภัยร้ายใกล้ตัวที่ยากจะรู้ทัน  ดังนั้นหากรู้จักป้องกันก่อนสาย  ก็จะดีกว่าอย่างแน่นอน  หากใครรู้ตัวว่ายังนอนไม่พอ หรือกินน้ำตาลจัดเกินไป  ลองหาองุ่นสักหน่อยไหม?  เผื่อร่างกายจะสดชื่นขึ้นไงคะ!!! แถมลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานได้อีกต่อด้วย

guest

Post : 2014-03-18 13:56:03.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  3 เคล็ดลับสร้างชีวิตให้มีอายุยืนยาว!

 “ชีวิตอมตะ”  อาจไม่ใช่เรื่องเป็นไปได้ก็จริง   เพราะทุกวันนี้คนเรามีอายุขัยเฉลี่ยที่ 71 ปีเท่านั้น   แต่หากเราใส่ใจดูแลตนเองก็อาจสร้างชีวิตให้อยู่ยืนยาวได้  นักวิชาการทางด้านสุขภาพต้องคาดหวังให้ในอนาคต  คนเราจะมีอายุขัยเฉลี่ยที่ 150ปื  เคล็ดลับจริงๆ ของการมีอายุยืนอยู่ที่ไหน และต้องปฏิบัติตัวเช่นไรบ้าง? ลองมาฟังกันดีกว่าค่ะ

1. กินอย่างเหมาะสม   เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญจะน้อยลง   ดังนั้นการลดน้ำหนักจะสามารถช่วยป้องกันโรคได้หลายชนิด  และการควบคุมอาหารและช่วยชะลอความชราอย่างได้ผล  โดยผลข้อมูลการวิจัยพบว่า   ร่างกายที่ได้รับพลังงานต่ำ  จะสามารถป้องกันความเสี่ยงของการเป็นโรคอ้วน  โรคเบาหวานและโรคมะเร็งได้ดีกว่า โดยวิธีควบคุมปริมาณอาหารให้ได้ผลเริ่มจาก  การับประทานอาหารให้น้อยกว่าปกติราว 25-40 เปอร์เซ็นต์จากอาหารเดิม  โดยเลือกอาหารที่มีสารอาหารมาก  แต่ไขมันและพลังงานน้อย  เป็นต้น

2.หากำลังใจในชีวิต  ชีวิตก็เหมือนต้นไม้   ต้องการการใส่ใจรดน้ำพรวนดิน   ขาดไม่ได้จริงๆ ก็คือ กำลังใจ  ไม่ว่าจากเพื่อน  ครอบครัว  หรือใครสักคนที่เข้าใจและพร้อมอยู่ข้างๆ   รวมถึงการแต่งงานกับคนที่เรารัก จะช่วยให้ชีวิตยืนยาวได้อีก 7 ปี สำหรับผู้ชาย  และ 3 ปีสำหรับผู้หญิง  รวมไปถึงการเลี้ยงสัตว์สักตัว  ก็ทำให้ความเครียดของคนเราลดลง  และรักษาอาการของคนเป็นโรคหัวใจให้ดีขึ้นได้

3.จิบไวน์แดงชะลอความแก่   ในไวน์แดงมีสารชนิดหนึ่ง  คือ สารเรสเวอราโทรล มีคุณสมบัติช่วยชะลอความชราของร่างกาย  แนะนำว่าให้คุณจิบไวน์แดงในมื้อเย็น  นอกจากจะเพิ่มบรรยากาศและรสชาติในมื้ออาหารแล้ว ยังช่วยดูแลสุขภาพของคุณอีกด้วย

guest

Post : 2014-03-18 13:54:29.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  วิตามินซีเม็ด

 

วิตามินซีเม็ด ใช่คำตอบสำหรับร่างกายจริงหรือ?

หลายคนสมัยเด็กๆ เคยกินวิตามินซีชนิดเม็ดอย่างเอร็ดอร่อย  เดาว่ามันอาจจะเป็นขนมอย่างหนึ่ง  และผู้ปกครองก็เห็นดีเห็นงามว่ามันอาจจะป้องกันโรคและดูแลร่างกายได้บ้าง   แต่คุณ รู้จริงๆ หรือป่าวว่า  วิตามินซีที่ผลิตขึ้นมานั้น จริงๆทำมาจากอะไร และมีประโยชน์จริงๆ อย่างไร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำว่า   วิตามินซีเม็ดที่ขายกันอยู่กลาดเกลื่อนนั้น มีทั้งแบบธรรมชาติและสังเคราะห์มา  บางชนิดประกอบด้วยกรดแอสคอบิก ผสมกับน้ำเชื่อมข้าวโพด  หรือคอร์นไซรัป  ผ่านการเติมสีและแต่งกลิ่น และแต่งรส

                ส่วนคำถามที่เป็นประเด็นหลักคือ  “วิตามินซีสามารถให้ “คุณค่า” แบบเดียวกับผลไม้สดที่มีวิตามินซีหรือไม่?” สามารถตอบได้ว่า  ในวิตามินซีเม็ดประเภทธรรมชาติจะให้คุณค่าไม่ต่างจากผลไม้ที่มีวิตามินซี   แต่หากเป็นวิตามินซีสังเคราะห์   กลับมีผลจากการศึกษาวิจัยว่า หากรับประทานไปในปริมาณมากจะทำให้เกิดมะเร็งในหลอดเลือดได้ ทำให้คนที่ต้องการเลือกวิตามินซีเม็ดรับประทาน  ต้องหาวิตามินซีที่ผลิตจากธรรมชาติ โดยสังเกตที่ข้างฉลากจะมีคำว่า “ธรรมชาติ” หรือ “Natural”  และที่สำคัญต้องมีคำว่า ผลิตจากผักและผลไม้ในสภาวะที่เหมาะสม หรือ Made from fruits and vegetables below 70 degrees” ด้วย

ความสำคัญของการการวิตามินซีเม็ดนั้น  เหมาะสำหรับคนที่ไม่สามารถทานผักผลไม้สดได้  หรือทานได้น้อย  ก็สามารถนำไปใช้เสริมได้  แต่ไม่ควรคิดว่าจะแทนผลไม้สด  เพราะวิตามินซีที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีที่สุดคือ จากผลไม้  ทางที่ดีที่สุด คือ การเลือกอาหารเสริมวิตามินซีบวกกับผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูงควบคู่กันไป..

 

guest

Post : 2014-03-18 13:51:01.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  กินกล้วยตอนเช้า

กินกล้วยตอนเช้า! ดีต่อร่างกายอย่างไร?

ผลไม้อะไรเอ่ย?? ราคาไม่แพง  แถมดีต่อร่างกายอีกด้วย.. คำตอบก็คือ  กล้วยไง!!!!   เป็นผลไม้พื้นเมืองของคนไทยที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการหลากหลาย   มีทั้งวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2  โพแทสเซียม  แมกนีเซียม ฯลฯ  แถมเป็นเคล็ดลับที่สาว ๆ ไม่ควรพลาด  แอบกระซิบว่า กล้วยน่ะ.. ลดความอ้วนได้ด้วยนะเธอ..

 1.  กล้วยลดความอ้วนจริงหรือ??    คำตอบคือ จริงค่ะ   กล้วยหากรับประทานช่วงเช้า  ด้วยคุณค่าของวิตามินบี 1 และ 2 ทำให้ร่างกายเร่งการเผาผลาญและลดความอ้วนได้  นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น  นอกจากนี้ยังมีโพแทสเซียมช่วยขับเกลือโซเดียมที่ทำให้เกิดภาวะความดันในเลือดสูงออกไปทางปัสสาวะได้ด้วย

2. ขับถ่ายดีขึ้นต้องกินกล้วย    หากใครมีปัญหาเรื่องท้องผูก  หรือขับถ่ายไม่คล่อง แนะนำกล้วยตอนเช้าเลยค่ะ  เพราะในกล้วยมีเส้นใยมาก ทำให้ระบบขับถ่ายดี  แถมลดอาการวิตกและหงุดหงิด อีกด้วย  ทำให้การเริ่มวันใหม่ของคุณสดใสได้จริงๆ

3. กล้วยชะลอหน้าแก่แบบธรรมชาติ สาวน้อยสาวใหญ่ที่อยากไปโบท็อกซ์  ลองกล้วยตอนเช้าทุกวันๆ ดูสิ  ประหยัดกว่า  แถมไม่เสี่ยงและปลอดภัยอีกด้วย  คุณค่าของไฟโตเคมิคัลเข้าไปต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอริ้วรอยก่อนวัย แถมป้องกันมะเร็งด้วยนะจะบอกให้..

4. เลือกกล้วยสุกเพิ่มภูมิคุ้มกัน   หากคนไหนเจ็บป่วยบ่อยๆ  แล้วอยากดูแลตนเองด้วยการรับประทานกล้วยดูบ้าง  และขับพิษในร่างกายก็แนะนำกล้วยดิบ  แต่กล้วยสุกก็มีคุณสมบัติสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้ดีเช่นกัน งานนี้ควบคู่กันไปทั้งดิบทั้งสุกก็ไม่ว่ากันจ้า

guest

Post : 2013-12-25 18:53:01.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โรคกระเพาะอาหาร

 โรคกระเพาะอาหาร

โรคกระเพาะอาหารหมายถึงภาวะที่มีแผลเยื่อบุกระเพาะ และลำไส้ถูกทำลายถึงแม้ว่าจะเรียกว่าโรคกระเพาะ แต่สามารถเป็นได้ทั้งที่กระเพาะ และลำไส้ ว่า ถ้าเป็นเฉพาะเยื่อบุกระเพาะเรียก >gastritis แต่ถ้าเป็นแผลถึงชั้นลึก>muscularis mucosa เรียก ulcerถ้าแผลอยู่ที่กระเพาะเรียก >gastric ulcerถ้าแผลอยู่ที่ลำไส้เล็กเรียก>duodenal ulcer โรคกระเพาะพบได้ทุกวัย 

สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร

สาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะมีมากมาย แต่เชื่อกันว่า สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากมีกรดในกระเพาะอาหารมาก และเยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง

  1. เชื่อโรค Helicobacter pylori เป็นเชื้อรูปแท่งติดสีน้ำเงิน มีความสามรถอยู่ในสภาวะกรดได้ดี
  2. สาเหตุที่กระเพาะอาหารมีกรดมากขึ้น เกิดขึ้นเนื่องจากสิ่งต่อไปนี้กระตุ้นให้กรดหลั่งมาก
  • กระตุ้นของปลายประสาท เกิดจากความเครียด วิตกกังวลและอารมณ์
  • การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง
  • ชา กาแฟ และน้ำดื่มที่มี Caffeine จะทำให้กรดหลั่งออกมามาก
  • การสูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่ทำให้เกิดการหลั่งกรดออกมามาก
  •  การกินอาหารไม่เป็นเวลา
  • ภาวะที่มีกรดหลั่งออกมามาก เช่นโรค Zollinger-Ellisson syndrome กรดที่หลั่งออกมามาก จะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
  1. มีการทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เกิดจาก
  •  การกินยาแก้ปวด ลดไข้ แก้ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ยาชุดที่มีแอสไพริน และยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอนต่างๆโดยเฉพาะสารที่ระคายกระเพาะ เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID แม้วว่าจะให้ยาโดยการฉีดหรืออมใต้ลิ้นก็มีโอกาสเกิดแผลที่กระเพาะ เนื่องจากนี้จะไปกระตุ้นให้เกิด cyclooxigenase II (Cox II) ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะ
  • การกินอาหารเผ็ดจัด และเปรี้ยวจัดจากน้ำสมสายชู
  • การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบี้ย ยาดอง
  1.  ประวัติเป็นโรคกระเพาะในครอบครัวหากครอบครัวไหนมีโรคกระเพาะ คนในครอบครัวนั้นก็จะมีโอกาสเกิดโรคกระสูง

ผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดแผลกระเพาะอาหาร

 
  • ผู้ที่สูบบุหรี่
  • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอลล์ประจำ
  • ผู้ที่มีความเครียดเป็นประจำ

Helicobacter pylori (H. pylori) คืออะไร

เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุที่สำคัญของผู้ป่วยโรคกระเพาะ เชื่อว่าติดต่อโดยการรับประทานอาหาร และน้ำ เชื้อจะทำลายเยื่อบุ และฝังตัวที่กระเพาะอาหาร กรดจากกระเพาะอาหารจะช่วยทำลายเยื่อบุทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร

guest

Post : 2013-12-25 18:50:28.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  กระเพาะทะลุ

 

กระเพาะอาหารทะลุ Peptic ulcer perforate

ปกติสารน้ำในกระเพาะจะเป็นน้ำย่อยซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด เมื่อกระเพาะทะลุกรดในกระเพาะจะหลั่งออกมาในช่องท้อง ทำให้เยื่อบุช่องท้อง peritoneum อักเสบเรียกช่องท้องอักเสบ peritonitisซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องอย่างมาก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

อาการของโรคกระเพาะทะลุ

กระเพาะทะลุอาการที่สำคัญของกระเพาะทะลุได้แก่

  • เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน เจ็บบริเวณลิมปี่ อาจจะร้าวไปไหล่
  • อายุที่พบบ่อย 48 ปี
  • ร้อยละ 29 ของผู้ป่วยจะมีประวัติเป็นแผลโรคกระเพาะ
  • ร้อยละ 20 ของผู้ป่วยมีประวัติการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID
  • ร้อยละ50ของผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโรคนี้จากอาการที่สำคัญคือ อาการปวดท้องเฉียบพลัน ร่วมกับการตรวจร่างกายพบว่าชีพขจรจะเร็ว หากป่วยมานานจะมีความดันโลหิตต่ำ การตรวจร่างกายที่สำคัญคือท้องจะอืด เมื่อเคาะบริเวณตับจะพบว่าเคาะโปร่ง(ปกติจะเคาะทึบ) การวินิจฉัยที่สำคัญคือการ X-ray ปอดท่ายืนจะพบอากาศในช่องท้อง

สาเหตุของกระเพาะทะลุ

  • สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่การติดเชื้อ  H. pylori 
  • การใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID

การรักษากระเพาะทะลุ

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

โดยปกติการผ่าตัดจะได้ผลดีเมื่อผ่าตัดภายใน 8 ชั่วโมง หากเกิน 12 ชั่วโมงผลการผ่าตัดจะไม่ดี เนื่องจากกระเพาะทะลุจะมีโอกาศที่แผลทะลุจะหายได้เอง ประกอบกับผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงหากผ่าตัด ดังนี้ผู้ป่วยที่มีลักษณะดังต่อไปนี้จะใช้การรักษาโดยวิธีไม่ผ่าตัด

  • มีโรคประจำตัวเช่นโรคหัวใจ โรคปอด
  • ผู้ป่วยมีอาการมากกว่า 12 ชั่วโมงและอาการไม่เป็นมากขึ้นซึ่งเชื่อว่าแผลทะลุหายเองได้

วิธีการรักษา

  • จะใส่สายเข้าทางจมูกและดูดเอาน้ำย่อยออกให้หมด
  • ให้น้ำเกลือ
  • ยาแก้ปวด
  • ยาปฏิชีวนะ

จะต้องติดตามผู้ป่วยโดยใกล้ชิดหากอาการปวดท้องเป็นมากขึ้น หรือสัญญาณชีพไม่ดีจะทำการผ่าตัด

การผ่าตัด

การผ่าตัดเพื่อรักษากระเพาะทะลุมีหลายวิธีด้วยกันขึ้นกับสภาพผู้ป่วย ระยะเวลาตั้งแต่ปวดจนมาถึงโรงพยาบาล และความเชี่ยวชาญของแพทย์

การรักษาอื่น

จะต้องให้ยารักษา  H. pylori  ด้วยยา Metronidazole และ Amoxycillin หรือ Tetracycline และยากระเพาะ

guest

Post : 2013-12-25 18:48:48.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ภาวะกรดไหลย้อน

 

โรคกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อน หมายถึงภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะไหลย้อนมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก

โครงสร้างของกระเพาะอาหาร

เมื่อเรารับประทานอาหารทางปาก อาหารจะถูกเคี้ยว และกลืนเข้าหลอดอาหาร อาหาร จะถูกบีบไล่ไปยังกระเพาะอาหาร ระหว่างรอยต่อของกระเพาะอาหาร และหลอดอาหารจะมีหูรูด หรือที่เรียกว่า Sphincter ทำให้ที่ปิดมิให้อาหารหรือกรดไหลย้อนกลับไปยังหลอดอาหาร เมื่ออาหารอยู่ในกระเพาะจะมีกรดออกมาจำนวนมาก เมื่ออาหารได้รับการย่อยแล้วจะถูกการบีบไปยังลำไส้เล็ก ดังนั้นหากมีกรดไหลย้อนไปยังหลอดอาหารก็จะมีอาการเจ็บหน้าอก

โรคกรดไหลย้อนคืออะไร

คือภาวะที่กรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารไปยังหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือแสบหน้าอก บางครั้งอาจจะรู้สึกรสเปรี้ยว

สาเหตุของกรดไหลย้อน

  • Hiatus hernia (คือโรคที่เกิดจากกระเพาะอาหารส่วนต้นเข้าไปในกำบังลม)
  • ดื่มสุรา
  • อ้วน
  • ตั้งครรภ์
  • สูบบุหรี่
  • อาหารรสเปรี้ยว เผ็ด อาหารมักดอง อาหารมัน อาหารย่อยยาก
  • ทานอาหารมากจนอิ่มเกินไป
  • ช้อกโกแลต กาแฟ น้ำอัดลม
  • คนเครียด
  • อาหารมัน ของทอด
  • หอมกระเทียม
  • มะเขือเทศ

อาการของกรดไหลย้อน

อาการทางหลอดอาหาร

  • อาการปวดเสบร้อนบริเวณหน้าอก และลิ้มปี่ที่เรียกว่าร้อนใน (heart burn) บางครั้งอาจจะร้าวไปที่คอได้
  • รู้สึกมีก้อนอยู่ในคอ
  • กลืนลำบาก หรือกลืนแล้วเจ็บ
  • เจ็บคอหรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนเช้า
  • รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือมีรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก
  • มีเสมหะอยู่ในคอ หรือระคอตลอดเวลา
  • เรอบ่อย คลื่นไส้
  • รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก คล้ายอาหารไม่ย่อย

อาการทางกล่องเสียง และปอด

  • เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะตอนเช้าหรือมีเสียงผิดปกติจากเดิม
  • ไอเรื้อรัง
  • ไอ หรือ รู้สึกสำลักในเวลากลางคืน
  • กระแอมไอบ่อย
  • อาการหอบหืดแย่ลง
  • เจ็บหน้าอก
  • เป็นโรคปอดอักเสบเป็นๆหายๆ

การรักษากรดไหลย้อน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

  • ลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เพราะคนอ้วนจะมีความดันในช่องท้องสูงทำให้กรดไหลย้อนได้มาก
  • งดบุหรี่เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดกรดมาก และหูรูดอ่อนแรง
  • ใส่เสื้อหลวมๆ
  • ไม่ควรจะนอน ออกกำลังกาย หรือยกของหนักหลังออกกำลังกาย
  • งดอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมง
  • งออาหารมันๆ อาหารทอด อาหารที่ปรุงด้วยหัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ช้อกโกแลต ถั่ว ลูกอม เนย ไข่ เผ็ด เปรี้ยว เค็มจัด
  • รับประทานอาหารพออิ่ม
  • หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา
  • นอนหัวให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว โดยหนุนที่ขาเตียง ไม่ควรใช้หมอนหนุนที่ศีรษะเพราะทำให้ความดันในช่องท้องสูง
  • รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ
  • ควรจะเข้านอนหรือเอนกายหลังจากรับประทานอาหารไปแล้วอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
  • ผ่อนคลายความเครียด

การรักษาด้วยยา

  • Antacids เป็นยาตัวแรกที่ใช้ สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่มาก
  • ใช้ยา proton pump inhibitor ซึ่งเป็นยาที่ลดกรดได้เป็นอย่างดีอาจจะใช้เวลารักษา1-3 เดือน เทื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ก็อาจจะลดยาลงได้ยาที่นิยมใช้ได้แก่ omeprazole , lansoprazole , pantoprazole , rabeprazole, และ esomeprazole
  • หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่ทำให้กระเพาะหลั่งกรดมาก หรือทำให้หูรูดหย่อน เช่น ยาแก้ปวด aspirin NSAID VITAMIN C

หากให้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรจะต้องตรวจเพิ่มเติมได้แก่

การรักษาโดยการผ่าตัด

จะผ่าตัดในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล

โรคแทรกซ้อน

  • หลอดอาหารที่อักเสบอาจจะทำให้เกิดแผล และมีเลือดออด หรือหลอดอาหารตีบทำให้กลืนอาหารลำบาก
  • อาจจะทำให้โรคปอดแย่ลง เช่นโรคหอบหืดเป็นมากขึ้น ไอเรื้อรัง ปอดอักเสบ

จะไปพบแพทย์เมื่อไร

ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง หากมีอาการดังต่อไปนี้ให้รีบพบแพทย์

  • อาเจียนบ่อย หรือมีเลือดปน
  • กลืนติด หรือกลืนลำบาก
  • อุจาระสีดำ หรือมีเลือดปน
  • อ่อนเพลีย ซีด
  • น้ำหนักลดอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีสาเหตุ
  • รับประทานยาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น
 

guest

Post : 2013-12-25 18:46:59.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โรคท้องร่วง

 

เมื่อไรจึงจะเรียกท้องร่วง

หมายถึงการที่ถ่ายอุจาระเหลว หรือเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งต่อวันหรือถ่ายเหลวมีเลือดปนเพียง 1 ครั้งใน 24 ชั่วโมงโดยทั่วไปอาการท้องร่วงมักหายได้เองใน 2-3 วันโดยที่ไม่ต้องรักษา ถ้าเป็นนานกว่านั้นต้องมีปัญหาอื่น ท้องร่วงทำให้เกิดผลเสียคือร่างกายขาดน้ำ ซึ่งถ้าเป็นมากอาจจะอันตรายถึงกับเสียชีวิตได้

ประวัติที่ต้องเตรียมก่อนพบแพทย์

  • อยู่ในแหล่งที่มีน้ำท่วมหรือไม่
  • อยู่ในแหล่งที่มีการระบาดหรือไม่
  • การเดินทาง
  • ประวัติการรับประทานอาหาร
  • ยาที่รับประทานอยู่โดยเฉพาะยาปฎิชีวนะ
  • โรคประจำตัว

สาเหตุ

สาเหตุที่พบบ่อยๆ คือ

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเกิดจากการรับประทานอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด ได้แก่เชื้อ บิดไม่มีตัว Shigella,ไข้ไทฟอยด์ Salmonella,เป็นต้น
  • การติดเชื้อไวรัส ได้แก่ rotavirus, Norwalk virus
  • การติดเชื้อพยาธิ์ เช่น Giardia lamblia, Entamoeba histolytica
  • จากแพ้อาหาร และนม
  • จากยา เช่น ยาลดความดัน ยาปฏิชีวนะ ยาระบาย
  • โรคลำไส้มีการอักเสบ

อาการของโรคท้องร่วง

ผู้ป่วยโรคท้องร่วงจะมีอาการ แน่นท้อง ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน และถ่ายบ่อย โรคท้องร่วงถ้าเป็นนานกว่า 3 สัปดาห์เรียกเรื้อรัง ถ้าหายภายใน 3 สัปดาห์เรียกท้องร่วงเฉียบพลันโดยมากเกิดจากเชื้อ แบคทีเรีย และเชื้อไวรัส อาการทีีท่านจะต้องสังเกตและแจ้งแก่แพทย์

  • ระยะเวลาที่เจ็บป่วย
  • อาการค่อยเป็นหรือเป็นมากทันที
  • จำนวนครั้งที่ถ่าย ลักษณะอุจาระ
  • อาการปวดท้อง อาเจียน
  • ไข้

โรคท้องร่วงในเด็ก

สาเหตุของโรคท้องร่วงในเด็กที่พบบ่อยได้แก่การติดเชื้อไวรัส Rotavirus ซึ่งใช้เวลา 5-8 วันจึงหาย นอกจากนั้นยังเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ,จากยา เป็นต้น การให้ยาจะให้เหมือนผู้ใหญ่ไม่ได้ เด็กที่ถ่ายเหลว 1 วันก็ทำให้เกิดการขาดน้ำได้ ควรพาเด็กพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้

  • อุจาระมีหนอง หรือเลือด
  • ไข้มากกว่า 38ํ
  • อาการไม่ดีขึ้นใน 24 ชั่วโมง
  • มีอาการของขาดน้ำ

อาการขาดน้ำมีอะไรบ้าง

  • หิวน้ำบ่อย
  • ปัสสาวะลดลง
  • ผิวหนังแห้ง
  • อ่อนเพลีย
  • เวียนศีรษะ
  • เวลาเปลี่ยนจากท่านอนเป็นยืนจะมีอาการหน้ามืดเป็นลม

ในเด็กอาจจะสังเกตอาการขาดน้ำได้จาก

  • ปากและลิ้นแห้ง
  • ไม่มีน้ำตาเวลาร้องไห้
  • ไม่มีปัสสาวะมากกว่า 3 ชั่วโมง
  • แก้มตอบ ท้องแฟบ ตากลวง
  • ไข้สูง
  • ร้องกวน
  • ผิวแห้ง

ถ้าหากมีอาการของการขาดน้ำควรพบแพทย์ทันที

เมื่อไรควรไปพบแพทย์

  • เมื่อมีอาการท้องร่วงนานเกิน 3 วัน
  • มีอาการปวดท้องอย่างมาก
  • มีไข้มากกว่า 38.5ํ
  • มีเลือดในอุจาระ หรืออุจาระดำ
  • มีอาการขาดน้ำ

แพทย์จะตรวจอะไรบ้าง

  • ตรวจอุจาระ และเพาะเชื้อจากอุจาระ
  • ตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุ
  • ให้งดอาหารที่สงสัยว่าจะแพ้ เช่น นม ขนมปัง
  • ส่องกล้องดูลำไส้ใหญ่เพื่อหาสาเหตุ [sigmoidoscopy,colonoscopy]

การรักษา

หลักการรักษาคือป้องกันการขาดน้ำโดยการได้รับ ORS วิธีการเตรียม

  • เตรียมน้ำต้มสุก เ ขวด
  • เทน้ำต้มสุกลงในแก้ว 1 แก้ว
  • เติมผงเกลือแร่ ORS ลงในแก้ว คนจนละลาย
  • เทน้ำที่ละลายเกลือแร่ลงในขวด
  • ดื่มตามฉลากข้างซองกำหนด

หรืออาจจะเตรียมน้ำเกลือแร่เองได้โดย

  • ผสมเกลือ 3.5 กรัม ผงฟู 2.5 กรัม เกลือ potassium chloride 1.5 กรัมผสมน้ำ 1 ลิตร

ยาที่ทำให้หยุดถ่ายไม่แนะนำเนื่องจากทำให้หายช้า

guest

Post : 2013-12-25 18:45:18.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ท้องร่วงจากเชื้อไวรัส

 

โรคท้องร่วงจากเชื้อไวรัส

ทุกปีจะมีผู้ที่ป่วยด้วยโรคท้องร่วงจากเชื้อไวรัส ในจำนวนนี้มีผู้ที่มีอาการถ่ายเหลวรุนแรงจนเสียชีวิต ผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีอาการ

  • ร้อยละ 44 มีอาการท้องร่วงอย่างเดียว
  • ร้อยละ 29 มีอาการอาเจียนอย่างเดียว
  • ร้อยละ 27 มีอาการทั้งสองอย่าง

เชื้อที่เป็นสาเหตุ

  • ร้อยละ 96 ของการระบาดเกิดจากเชื้อ Norwalk-like viruses
  • ร้อยละ 5-20 เกิดจากเชื้อ Adenovirus
  • ร้อยละ 5 เกิดจากเชื้อ Astrovirus

การติดต่อ

ส่วนใหญ่การติดต่อจะติดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อน เชื้อโรคอาจจะยังติดต่อแม้ว่าคนติดเชื้อจะไม่มีอาการแล้วก็ตาม นอกจากนั้นในภาวะน้ำท่วมเชื้อก็อาจจะปนเปื้อนน้ำดื่มน้ำใช้ทำให้เกิดโรค

  • ร้อยละ 39 ติดต่อทางอาหาร
  • ร้อยละ 12 ติดต่อจากคนสู่คน
  • ร้อยละ 3 ติดต่อทางน้ำ
  • ร้อยละ 18 ไม่ทราบสาเหตุ

อาการของโรค

  • ผู้ป่วยจะเกิดอาการหลังได้รับเชื้อ 2-10 วัน
  • ผู้ป่วยจะถ่ายเหลวเป็นน้ำ บางรายมีอาการปวดท้อง บางรายอาจจะมีไข้ต่ำๆ
  • หากถ่ายมากจะมีอาการของคนขาดน้ำ 

การรักษา


การป้องกัน

  • เน้นเรื่องการล้างมือ 
  • สำหรับผู้ที่มีอาการถ่ายเหลวหรืออาเจียนให้แยกผู้ป่วยจากคนอื่น
  • อาจจะใช้แอลกอฮอลล์เช็ดมือ

guest

Post : 2013-12-25 18:44:24.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ท้องร่วงเรื้อรัง

 

ท้องเสียเรื้อรัง ท้องร่วงเรื้อรัง Chronic Diarrhea

ท้องร่วงเรื้อรังหมายถึงการที่มีถ่ายเหลววันละ 2-3 ครั้งเป็นเวลาติดต่อกันเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ ท้องร่วงเรื้อรังพบได้ในคนที่สุขภาพปกติ หรือพบได้ในคนที่มีโรคประจำตัว

สาเหตุของท้องร่วงเรื้อรัง

ท้องร่วงเรื้อรังมีสาเหตุมากมาย และมีความแตกต่างระหว่างเด็กและผู้ใหญ่

ท้องร่วงเรื้อรังที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อ

  • การติดเชื้อพยาธิ์ Cryptosporidium,Cyyclospora,Entamoeba histolytica,Gairdia,microsporidia
  • Bacteria เช่น Aeromanas,Campylobacter,Clostridium difficile,E.coli,Salmonella,Shigella
  • Virus norovirus rotavirus
  • การติดเชื้อที่ไม่ทราบสาเหตุ

ท้องร่วงเรื้อรังจากสาเหตุอื่นๆ

การวินิจฉัยโรคท้องร่วงเรื้อรัง

การวินิจฉัยโรคท้องร่วงเรื้อรังจะต้องอาศัยประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย การส่งตรวจพิเศษจะต้องอาศัยประวัติและอาการของโรค

  • ตรวจอุจาระ 2-3 ครั้งเพื่อหาพยาธิ์ และเพาะเชื้อจากอุจาระ
  • หากไม่ได้คำตอบจะต้องตรวจทางรังสี หรือการส่องกล้อง

เมื่อไรจึงจะพบแพทย์

โรคท้องร่วงส่วนใหญ่มักจะหายเอง หากเกิดอาการดังต่อไปนี้ให้พบแพทย์

ผู้ป่วยเด็ก

  • ไข้สูง 39 องศา
  • ถ่ายอุจาระดำ หรือมีเลือดออก
  • ปากแห้ง ร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา
  • เด็กซึม
  • แก้มตอบ ตาโหล
  • ผิวแห้ง

สำหรับผู้ใหญ่

  • มีอาการท้องร่วงมากกว่า 3 วัน
  • มีอาการของการขาดน้ำ
  • ปวดท้อง หรือปวดเบ่งมาก
  • อุจาระดำ หรือถ่ายเป็นเลือด

การรักษาโรคท้องร่วงเรื้อรัง

การรักษา

  • การรักษาโรคท้องร่วงเรื้อรังจะขึ้นกับสาเหตุ หากเป็นโรคติดเชื้อต้องให้ยาปฏิชีวนะ
  • ในกรณีที่เกิดจากโรคอื่นก็รักษาที่ต้นเหตุ

กรณีที่ไม่ทราบสาเหตุ

  • ต้องดื่มน้ำเกลือแร่อย่างเพียงพอเพื่อป้องกันการขาดน้ำ
  • ต้องได้รับอาหารอย่างเพียงพอเพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร และทำให้โรคหายเร็วขึ้น
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ ชา และกาแฟ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มสุราเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำเพิ่มขึ้น

ยาที่ใช้รักษาโรคท้องร่วง

  • Bismuth (sold as Kaopectate®, Pepto-Bismol®)
  • ยาที่เพิ่มกากอุจาระTreatments that bulk the stools, such as a high-fiber diet or fiber supplement
  • ยาที่แก้ท้องร่วงเช่น loperamide diphenoxylate (Lomotil®)

การป้องกันท้องร่วงเรื้อรัง

  • ดื่มน้ำที่สะอาด
  • รับประทานอาหารที่ทำสุกใหม่ๆ
  • การเตรียมอาหาร การประกอบอาหารอย่างถูกต้อง
  • ล้างมือให้สะอาด

guest

Post : 2013-12-25 18:42:18.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โรคท้องผูก

 ท้องผูก Constipation

ภาวะท้องผูกเป็นอย่างไร

ไม่มีตัวเลขแน่นนอนว่าคนปกติควรจะถ่ายกี่วันครั้งหรือวันละกี่ครั้ง เนื่องจากความถี่ของการถ่ายขึ้นกับ ปริมาณอาหารที่รับประทาน ชนิดของอาหารที่รับประทาน รวมทั้งการออกกำลังกาย โดยเราถือว่าถ้าถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และถ่ายลำบาก อุจาระแข็งเราจัดเป็นท้องผูก

การแก้ไขภาวะท้องผูก

  1. รับประทานอาหารที่มีกากหรือใยอาหารให้มาก กากอาหารจะพบมากในผัก ผลไม้ และธัญพืช กากและใยอาหารจะทำให้อุจาระนุ่ม ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีกาก เช่น ครีม เนย เนื้อ มันทอด



  1. ดื่มน้ำ น้ำผลไม้ และน้ำผักให้มาก น้ำจะทำให้อุจาระนุ่มและออกง่ายไม่ควรดื่มกาแฟ และแอลกอฮอล์เนื่องจากจะทำให้อุจาระแห้ง

  1. ออกกำลังกายเป็นประจำจะทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น โดยอาจจะใช้เดินวันละ 20-30นาที

  1. เวลาเข้าห้องน้ำอย่ารีบเร่งจนเกินไป ให้เวลากับการขับถ่ายบ้าง
  2. ใช้ยาระบายตามแพทย์สั่งและใช้เท่าที่จำเป็น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ถ้าปฏิบัติตัวดีก็หายเองได้ โปรดปรึกษาแพทย์ในการเลือกใช้ยาระบาย
  3. หากท่านใช้ยาประจำโปรดปรึกษาแพทย์เพราะยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดอาการท้องผูก เช่น แคลเซียม ยาลดกรด ยาแก้ปวดบางชนิด ยาขับปัสสาวะ

                           

guest

Post : 2013-12-25 18:40:41.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ไส้เลื่อน

 ไส้เลื่อน

คำว่าไส้เลื่อนหมายถึงภาวะที่ลำไส้ได้เคลื่อนที่ออกจากช่องท้องมาสู่ภายนอก เช่นบริเวณขาหนีบ หรืออาจจะเลื่อนมาในตำแหน่งรอยผ่าตัดไส้เลื่อน

ปกติอวัยวะเช่นลำไส้ ตับจะถูกปกคลุม โดยเยื่อหุ้มช่องท้องที่เรียกว่า peritoniumและมีพังผืดหรือกล้ามเนื้อหุ้มอีกชั้น เพื่อป้องกันอวัยวะภายใน ปกติจะมีรูที่ให้ท่อรังไข่ และท่อนำเชื้อในผู้ชายผ่านทางรู เมื่อมีความอ่อนแอของพังผืด ไส้ก็จะเลื่อนออกมาที่ขาหนีบ ซึ่งมีสองชนิดคือ indirect inguinal  hernia และ direct inguinal  hernia

Indirect inguinal  hernia

ขณะที่เป็นตัวอ่อนในท้อง อัณฑะจะอยู่ในช่องท้อง เมื่ออายุครรภ์ได้ 7 สัปดาห์อัณฑะจะเคลื่อนที่ออกจากช่องท้องมาอยู่ในถุงอัณฑะ และรูหรือทางที่มันเคลื่อนที่จะปิด แต่เด็กผู้ชายบางคนทางเดินและรูมันไม่ปิดทำให้ลำไส้เคลื่อนสู่ถุงอัณฑะที่เราเรียกว่าไส้เลื่อนซึ่งมักจะพบในผู้ชาย สำหรับผู้หญิงก็เกิดโรคนี้ได้เหมือนกัน โดยรูที่เปิดเกิดจากเยื่อที่ยึดมดลูก round ligament มีการเคลื่อนตัวเหมือนอัณฑะ ไส้เลื่อนชนิดนี้พบบ่อยที่สุด

Direct inguinal  hernia

ลำไส้ไม่เคลื่อนออกจากช่องท้องบริเวณพังผืดที่หย่อนที่สุด โดยมีปัจจัยส่งเสริมคือมีความดันในช่องท้องเพิ่มมากขึ้น เช่นตับแข็งและมีน้ำในช่องท้อง หรือพวกถุงลมโป่งพองไอมากๆ

ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคไส้เลื่อน

ผู้ที่มีความดันในช่องท้องสูงเช่น การตั้งครรภ์ ไอเรื้อรัง คนอ้วน ท้องผูก ต่อมลูกหมากโตทำให้ต้องเบ่งเมื่อปัสสาวะ ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้เกิดไส้เลื่อน

อาการ

อาการที่สำคัญสำหรับไส้เลื่อนทั้งสองชนิดได้แก่ การที่มีก้อนที่บริเวณขาหนีบ ก้อนนี้จะโตขึ้นเวลายกของหนักหรือไอแรงๆจะทำให้ก้อนโผล่ออกมา และอาจจะได้ความรู้สึกมีเสียงเคลื่อนไหวของลำไส้เหมือนเวลาเราหิวข้าว เมื่อนอนลง หรือจับก้อนยัดเข้าไปในรูก้อนจะหายไป

ไส้เลื่อน

เป็นในหญิง

ไส้เลื่อน

เป็นในชาย

โรคแทรกซ้อนของไส้เลื่อนที่สำคัญได้แก่

  • Incarcerated hernia เป็นภาวะที่ลำไส้เคลื่อนออกมาแล้วไม่สามารถดันกลับเข้าไปในช่องท้อง
  • Strangulated hernia เป็นภาวะที่ลำไส้ในถุงมีการบิดทำให้ลำไส้เกิดการขาดเลือดไปเลี้ยงและเกิดไส้เน่าตามมา ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องอย่างมากแรกๆจะปวดบิดๆ คลื่นไส้อาเจียน เมื่อลำไส้เน่าจะปวดทั้งท้องปวดมากจนต้องนอนนิ่งๆ การขยับตัวก็จะปวด มีไข้ บางรายอาจจะมีอาการความดันโลหิตต่ำ
  • Bowel obstruction เกิดเมื่ออุจาระไม่สามารถเคลื่อนผ่านลำไส้นี้ไปได้ผู้ป่วยจะปวดท้องมวนๆ คลื่นไส้อาเจียน ท้องอืดไม่ผายลม

สำหรับผู้ที่เป็นไส้เลื่อนเมื่อมีอาการต่อไปนี้ให้พบแพทย์

  • ปวดบริเวณไส้เลื่อน
  • ก้อนนั้นไม่สามารถดันกลับเข้าไปในช่องท้อง
  • ปวดท้องและอาเจียนท้องอืด

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยทำได้ง่ายโดยการซักประวัติและการตรวจร่างกาย

การรักษา

การรักษาไส้เลื่อนทั้งสองชนิดทำได้โดยการผ่าตัด นำลำไส้กลับเข้าไปในช่องท้องและเย็บซ่อมรูหรือตำแหน่งที่ลำไส้ออกมา การผ่าตัดมักจะได้ผลดี

  • การผ่าตัดที่เรียกว่า  Herniorrhaphy ผ่าตัดบริเวณไส้เลื่อนเมื่อนำไส้กลับเข้าในช่องท้องแล้วก็เย็บซ่อมรูหรือจุดอ่อน 
  • การผ่าตัดที่เรียกว่า  Hernioplasty วิธีนี้จะใช้แผ่นสารสังเคราะห์เย็บปิดรูหรือจุดอ่อน

                              

처음 이전 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 ... 다음 끝
Tel: 095-506-4939 , 085-737-7178 ไนท์| Email: lovenight_loveyou@hotmail.com