Support
www.Bhip.com
095-506-4939 , 085-737-7178 ไนท์
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2013-12-05 20:39:55.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  มะเร็งผิวหนัง

 มะเร็งผิวหนัง

ประเทศไทยพบมะเร็งผิวหนังน้อยกว่าประเทศอื่นๆทั้งๆที่เราเป็นเมืองที่มีแสงแดดจัดซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งผิวหนัง อาจเป็นเพราะผิวหนังของคนไทยมีเม็ดสีเมลานินที่ช่วยป้องกันอันตรายจากแสงแดด หรือเป็นจากเราไม่ได้ให้ความสำคัญ และละเลยในการค้นหาเฝ้าระวัง โรคนี้เนื่องจากเห็นว่าเป็นที่ผิวหนังไม่อันตรายก็เป็นได้

รู้จักมะเร็งผิวหนังกันก่อน

มะเร็งผิวหนังคือเนื้อร้ายที่เกิดบนผิวหนังและเยื่อบุ  เนื่องจากความผิดปกติของการเจริญเติบโต และการแบ่งเซลล์ของผิวหนังและเยื่อบุ มะเร็งผิวหนังมีหลายชนิด ที่พบบ่อย ได้แก่

  • มะเร็งผิวหนังชนิดสเควมัสเซลล์ Squamous cell carcinoma,
  • ชนิดเบเซลเซลล์ Basal cell carcinoma
  • เมลาโนมา malignant melanoma พบไม่บ่อย แต่มีความร้ายแรง เพราะสามารถกระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้รวดเร็วคือ มะเร็งของเซลล์เม็ดสี

มะเร็งผิวหนังอาจจะมีขนาดใหญ่ขึ้นช้าๆ และลุกลามเฉพาะที่ หรืออาจจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นได้ด้วย เช่นต่อมน้ำเหลือง ส่วนมากจะพบในผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี และพบในชายมากกว่าหญิง

 จะทราบได้อย่างไร ว่าไฝที่มีอยู่เป็นมะเร็งหรือไม่

คนที่มีไฝเป็นจำนวนมาก หรือมีไฝขนาดใหญ่ จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งไฝได้สูงกว่าคนที่ไม่มี 

โดยปกติแล้วอาการจะดูออกยากเพราะจะเหมือนเป็นไฝทั่วไป แต่เราสามรถวินิจฉัยด้วยตัวเอง โดยสังเกตการเปลี่ยนแปลงง่ายดังนี้

  •  ดูบริเวณไฝที่เป็นว่ามีผื่นหรือก้อนที่โตเร็วกว่าปกติหรือไม่
  • มีสีเปลี่ยน
  • มีแผลเรื้อรังที่ไม่หายและขยายออกหรือไม่
  • พบผื่นที่ใช้ยาทาแล้วไม่หายหรือไม่
  • ตรวจสอบตนเองว่าเคยมีประวัติการใช้ยาหม้อ กินหมากหรือสูบบุหรี่หรือไม่ 
  • และมีสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งดังกล่าวหรือไม่ 

ถ้ามีข้อสงสัย ให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการวินิจฉัย ซึ่งทำได้โดยการตัดชิ้นเนื้อบริเวณที่สงสัย ส่งตรวจทางพยาธิวิทยา

ลักษณะที่ทำให้สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนัง

 ไฝที่เป็นอยู่เดิม มีรูปร่างเปลี่ยนไป อาจใช้หลักง่ายๆ คือ ABCD ดังนี้

  • Asymmetryลักษณะของไฝสองข้างม่เหมือนกัน
    Border irregularity ขอบของไฝไม่เรียบ
    Colorสีของไฝไม่สม่ำเสมอ
    SADADAD Diameter ขนาดของไฝมากกว่า 6 มม
      1.  มีผื่นหรือก้อนที่เกิดขึ้นใหม่ และไม่หายใน4-6 สัปดาห์
      2.  ไฝหรือปานที่โตเร็ว และรูปร่างเปลี่ยนไปจากเดิม มีอาการคัน แตกเป็นแผล และมีเลือดออก
      3.  แผลเรื้อรังไม่หายใน 4 สัปดาห์

      ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง

      1.  แสงอัลตราไวโอเลต (UVA,UVB) พวกที่ต้องทำงานกลางแดด เล่นกีฬากลางแจ้ง ชอบอาบแดด จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง
      2.  เชื้อชาติ คนผิวขาว ผมสีบลอนด์ ผิวไหม้แดดง่าย มีโอกาสเสี่ยงสูง เพราะมีเม็ดสีที่ผิวหนังน้อย ความสามารถในการป้องกันเซลล์ผิวหนังจากแสงอัลตราไวโอเลตจึงน้อยกว่าคนผิวคล้ำ คนที่เป็นโรคผิวหนัง Albinism ซึ่งมีความผิดปกติของการสร้างเม็ดสี จะพบมะเร็งผิวหนังได้บ่อย
      3.  การได้รับสารเคมีก่อมะเร็ง เช่น สารหนูที่ปนอยู่ในน้ำ ยาหม้อ ยาไทย ยาจีน ยาลูกกลอน
      4.  แผลเป็นจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลจากผื่นผิวหนังบางโรค เช่น DLE
      5.  มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งผิวหนัง
      6.  เชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV ที่ทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ
      7.  ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ได้รับยากดภูมิคุ้มกันหลังการปลูกถ่ายไต
      8.  ผิวหนังในบริเวณที่เคยได้รังสีรักษา
      9.  คนที่สูบบุหรี่นานๆ จะเกิดมะเร็งในช่องปากได้

      การป้องกันและรักษา

      มะเร็งทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นที่อวัยวะใด ถ้าสามารถตรวจพบตั้งแต่แรก และกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติออกได้หมด ก็สามารถหายขาดได้ มะเร็งผิวหนังมีข้อเด่นคือ ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอก เราสามารถมองเห็นได้ จึงทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติในระยะเริ่มแรกได้รวดเร็ว และยังติดตามการรักษาได้ง่าย

       การรักษามีหลายวิธี ขึ้นกับชนิด ตำแหน่ง และการลุกลามของโรค โดยทั่วไปมักใช้วิธีผ่าตัดเอามะเร็งผิวหนังออกให้หมด หลายครั้งที่มะเร็งเกิดบนใบหน้า ในบริเวณที่อาจมีการผิดรูปจากการผ่าตัดได้ ปัจจุบันมีวิธีผ่าตัดโดยวิธีที่เรียก Mohs micrographic surgery แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อและส่งตรวจทางพยาธิวิทยา ในคราวเดียวกัน เพื่อตรวจดูว่าได้ตัดมะเร็งออกได้หมด หากยังมีหลงเหลือ ก็จะกลับมาผ่าตัดซ้ำจนหมด จึงจะเย็บปิดแผล วิธีนี้จะทำให้สามารถตัดมะเร็งออกได้หมดในคราวเดียว โดยไม่ตัดเนื้อดีออกมากเกินจำเป็น แต่ในบางครั้ง มะเร็งถูกทิ้งไว้จนมีขนาดใหญ่เกินที่จะตัดออกได้หมด อาจรักษาโดยการใช้รังสีรักษา หรือถ้ามีการแพร่กระจาย จะต้องให้เคมีบำบัดร่วมด้วย

      มะเร็งผิวหนังสามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้าได้รับการวินิจฉัย และรักษาตั้งแต่เริ่มแรก ถ้ามีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งผิวหนัง ควรพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อตรวจหามะเร็งตั้งแต่ระยะแรก ในคนทั่วๆ ไปก็ไม่ควรประมาท ระวังอย่าถูกแสงแดดจัด ใช้ครีมกันแดดให้ถูกต้องและเหมาะสม ไม่ควรใช้สารที่ทำให้ผิวขาวหรือทำลายเม็ดสี โดยเฉพาะการฉีดสารกลูต้าไธโอนเข้าเส้นเลือดดำ สังเกตการเปลี่ยนแปลงของหูด,ไฝ, ปาน หากมีแผลเรื้อรังหรือแผลที่ไม่หายใน 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์ สำหรับผู้ที่อยู่ใกล้บริเวณ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ในวันที่ 29 และ 30 พฤศจิกายน 2553 นี้ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังจะจัดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางผิวหนังไปออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ขอเชิญไปรับบริการและคำปรึกษาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

      มะเร็งผิวหนังเป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันได้ สาเหตุที่สำคัญคือ

      • แสงแดด โดยเฉพาะผู้ที่เคยผิวไหม้หรือพวกที่นอนอาบแดดผิวสี tan
      • ผู้ที่ได้รับรังสี
      • แผลเป็นจากรอยไหม้ของผิวหนัง
      • ผู้ที่สัมผัสน้ำมัน
      • กรรมพันธุ์
      • การป้องกันที่สำคัญคือการป้องกันการถูกแสงแดด
      • หลีกเลี่ยงแสงแดดช่วง 10.00-15.00 น ซึ่งเป็นช่วงที่มีรังสี UV สูงสุด
      • สวมเสื้อผ้าสีอ่อน เนื้อแน่น หมวกปีกกว้าง 3 นิ้วเมื่อเวลาออกแดด
      • ทาครีมกันแสงแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 15
      • การทาครีมควรทาตั้งแต่ในวัยเด็กเพราะรังที่ประมาณร้อยละ 80 จะได้รับก่อนอายุ 18 ปี

      การตรวจมะเร็งผิวหนังแรกเริ่ม

      ควรจะต้องเริ่มตรวจร่างกายตัวเอง การรักษามะเร็งผิวหนังที่ดีที่สุดคือการค้นพบตั้งแต่แรกเริ่ม โดยต้องสำรวจร่างตายตัวเองให้ทั่วซึ่งต้องใช้กระจกตั้งและกระจกมือช่วย

      SADASDASDA

       

      ยืนหน้ากระจกส่องข้างหน้า ข้างหลัง ด้านข้างซ้ายขวา ยกแขนขึ้น

      • ตรวจแขน รักแร้ มือ หลังมือ ข้อศอก
      • ตรวจต้นขาด้านหน้า ด้านหลัง น่อง หน้าแข็ง เท่ หลังเท้า ซอกนิ้ว
      • ตรวจหลัง คอด้านหน้า ด้านหลัง หนังศีรษะ ไรผม
      • ตรวจหลัง หนังศีรษะ ไรผม

      มะเร็งผิวหนังเริ่มแรก

      เราเรียก Actinic keratoses คลิกอ่านที่นี่เป็นผื่นเล็กๆมีขุยมักจะพบบริเวณใบหน้า แขน หลังมือโดยเฉพาะบริเวณที่ได้รับแสงมาก หากไม่รักษาก็จะกลายเป็นมะเร็งในภายหลัง

      มะเร็งผิวหนังที่พบได้บ่อยคือ

      SaAS ลักษณะมะเร็งจะเป็นก้อนนูนขึ้นมา พบบ่อยบริเวณใบหน้า มือ ศีรษะ แต่ก็อาจจะพบตามลำตัวมักจะพบในคนผิวขาว ก้อนโตช้า

      s เป็นมะเร็งผิวหนังที่พบเป็นอันดับ 2 มักจะพบในคนผิวขาว มักจะพบบริเวณขอบหู ริมฝีปาก หน้า ก้อนโตช้าหากพบได้เร็วการรักษาจะหายขาด

      As เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยและมีอัตราการตายสูง มักจะพบมากในคนที่เคยมีผิวไหม้จากแดด พวกผิวขาว

       

       

       

guest

Post : 2013-12-05 20:36:46.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  เครื่องสำอาง

 เครื่องสำอาง 

เป็นสารที่ใช้เพิ่มเติมความสวยงามให้กับร่างกายมนุษย์ นอกเหนือจากอุปกรณ์รักษาความสะอาดโดยทั่วไป การใช้งานเครื่องสำอางมีใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก จำนวนบริษัทผลิตเครื่องสำอางในปัจจุบันมีเป็นจำนวนน้อยเปรียบเทียบกับธุรกิจชนิดอื่น โดยบริษัทส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ในระดับนานาชาติ มากกว่าระดับท้องถิ่น

การใช้เครื่องสำอางจัดเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มีมาแต่สมัยโบราณ มีการค้นพบว่า มีการใช้เครื่องสำอางมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ จีน อินเดีย และต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยชาวกรีกเป็นชาติแรกที่มีการแยกการแพทย์และเครื่องสำอางออกจากกิจการทางศาสนา และยังถือว่าการใช้เครื่องสำอางเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติต่อร่างกายให้ถูกต้องสม่ำเสมอจนเป็นกิจวัตรประจำวัน

ศิลปะการใช้เครื่องสำอางและเครื่องหอมได้ถึงขีดสุดในระหว่าง 2 ศตวรรษแรกแห่งจักรวรรดิโรมัน แล้วค่อยๆ เสื่อมลง และเมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลงในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ศิลปะการใช้เครื่องสำอางจึงแพร่หลายเข้าสู่ทวีปยุโรป นอกจากนี้ ชาวอาหรับก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในการผลิตเครื่องสำอาง โดยได้มีการดัดแปลง แก้ไขส่วนผสมต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีคุณภาพดีขึ้น เช่น การใช้กรรมวิธีการกลั่นเพื่อให้มีความบริสุทธิ์สูง การใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลาย เป็นต้น

การผลิตเครื่องสำอางในช่วงแรกๆ นั้น ยังมีกรรมวิธีการผลิตที่ไม่แน่นอน เครื่องสำอางบางประเภทมีขายในร้านขายยา การผลิตเป็นความรู้ส่วนบุคคลที่ได้รับสืบทอดมาหรือได้จากการศึกษาค้นคว้า ลองผิดลองถูก จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ได้มีผู้นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เข้ามาช่วยในการผลิตแทนวิธีเก่า และเมื่อผลิตเครื่องสำอางแต่ละชนิดจะมีเครื่องหมายการค้าชัดเจน และมีกรรมวิธีในการผลิตที่แน่นอน ทำให้เครื่องสำอางที่ผลิตขึ้นมีคุณภาพ สามารถเพิ่มรายได้ให้กับผู้ผลิต ทำให้มีการเพิ่มการผลิต และพยายามปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสำอางให้มีคุณภาพสูงขึ้นเมื่อศิลปะการใช้เครื่องสำอางได้แพร่หลายเข้าสู่ในประเทศฝรั่งเศสมากขึ้น เจ้าหน้าที่ชาวฝรั่งเศสได้พยายามเสนอให้มีการแยกกิจการด้านเครื่องสำอางไว้เฉพาะ โดยให้แยกออกจากกิจการด้านการแพทย์ เนื่องจากกิจการด้านการแพทย์และเครื่องสำอางต้องอยู่ในการควบคุมของกฎหมายในระหว่างปี ค.ศ. 1400 – ค.ศ. 1500 และความพยายามก็ประสบความสำเร็จในปี ค.ศ. 1600 ศิลปะการใช้เครื่องสำอางได้แยกออกมาจากกิจการด้านการแพทย์อย่างชัดเจน ต่อมาในปี ค.ศ. 1800 ได้มีการรวบรวมและแยกแยะความรู้ในด้านศิลปะการใช้เครื่องสำอางออกเป็นหลายๆ ประเภท เช่น เภสัชกร ช่างเสริมสวย นักเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งต้องใช้ความรู้ที่ได้มาจากเภสัชกรรมและครื่องสำอางมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละอาชีพ

ต่อมาได้มีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เข้ามาปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสำอาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาเคมี ได้มีส่วนเข้ามาช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้มีคุณภาพสูง ในการผลิตแต่ละครั้งต้องมีส่วนประกอบที่คงที่ ได้ผลิตภัณฑ์อย่างเดียวกัน มีหลักการเลือกใช้วัตถุดิบที่ได้มาตรฐานในการผลิต และมีการตรวจสอบคุณสมบัติ ตลอดจนการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง

 

ในปี ค.ศ. 1895 ได้มีการเปิดสอนวิชาการเครื่องสำอางในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก ทำให้นักศึกษาได้รู้จักวิธีการใช้เครื่องสำอางชนิดต่างๆ ในการรักษาผิวหนังและเส้นผม ต่อมาการศึกษาวิชานี้ได้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว

                   

guest

Post : 2013-12-05 20:28:36.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  การดูดไขมัน

 

การดูดไขมัน Liposuction

คนที่ไม่ออกกำลังกายและอายุเริ่มมากขึ้น จะมีการสะสมไขมันตามร่างกายโดยเฉพาะส่วนหน้า คาง คอ เต้านม หน้าท้อง ก้น ต้นขาสมัยก่อนการรักษาจะทำโดยการผ่าตัด แต่ก็มีโรคแทรกซ้อนและใช้เวลานานกว่าแผลจะหาย จนกระทั่งมีการพัฒนาเทคนิคการดูดไขมัน tumescentliposuction

วิธีการทำ tumescent liposuction

เริ่มจะมีการฉีดสารละลายระหว่างยาชาและยา epinephrine ซึ่งจะไม่ให้เลือดออกมาก หลังจากนั้นก็จะกรีดผิวหนังเป็นรอยเล็กแล้วสอดท่อเข้าบริเวณที่จะดูดและเปิดเครื่องดูด ก็จะได้ไขมันออกมา หลังจากนั้นใช้ผ้ายืดพันบริเวณที่ดูดเพื่อให้แผลหายเร็วและรูปร่างเข้าทรง

1 1

ข้อดีของการดูดไขมัน

  • ผิวหนังบริเวณที่ถูกดูดจะเรียบ ไม่ค่อยมีรอย
  • เลือดออกน้อย
  • เกิดรอยช้ำเขียวน้อย
  • หายเร็ว

ข้อบ่งชี้ในการดูดไขมัน

  • ใช้ดูดไขมันในกรณีที่ออกกำลังและคุมอาหารแล้วไขมันไม่ลด
  • กล้ามเนื้อบริเวณที่จะดูดต้องแข็งแรง
  • ผิวหนังบริเวณที่ถูกดูดต้องมีความยืดหยุ่นดี

หลังการดูดไขมัน

  • ยาชาจะออกฤทธิ์ประมาณ 24 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยจะรู้สึกตัวดีขณะที่มีการดูดไขมัน
  • ผู้ป่วยจะกลับไปทำงานได้ตามปกติ
  • หลังจากดูด 7 วันจึงจะออกกำลังกายได้

โรคแทรกซ้อน

พบได้ไม่มาก ได้แก่

  • ผิวหนังเป็นปม มีก้อนใต้ผิวหนัง แผลเป็น
  • ชา การติดเชื้อ แผลเป็น เสียชีวิตเนื่องไขมันเข้าเส้นเลือด
  • เสียเลือด และน้ำทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ

โรคแทรกซ้อนจะพบมากในภาวะดังต่อไปนี้

  • นำไขมันออกมากเกินไป
  • ทำการผ่าตัดหลายชนิดในการทำครั้งเดียว
  • การดมยาสลบ

ข้อที่ควรจะระวังการดูดไขมันมิใช่เป็นการลดน้ำหนัก การดูดไขมันจะเป็นการดูดไขมันเฉพาะที่เพื่อลดสัดส่วนของร่างกายให้ดูดี ารดูดไขมันหน้าท้อง

เป็นการดูดไขมันที่นิยมทำเนื่องจากไขมันจะมาสะสมบริเวณหน้าท้อง 1การดูดไขมันจะทำให้ทรวดทรงดีขึ้น ผู้หญิงที่อ้วนเมื่อลดน้ำหนักลงได้แต่ไม่สามารถลดเส้นรอบเอว หรือยังลงพุงการดูดไขมันจะช่วยทำให้ดูดีขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากไขมันบริเวณนี้จะไม่ค่อยลดแม้ว่าจะออกกำลังหรือควบคุมอาหาร

เมื่อพบแพทย์ครั้งแรก

แพทย์จะถามถึงความคาดหวังของผู้ป่วย หลังจากนั้นแพทย์จะอธิบายถึงวิธีการทำ ทางเลือกอื่น ราคา โรคแทรกซ้อน ข้อจำกัดของการทำ

หลังจากนั้นแพทย์จะตรวจร่างกาย ตรวจความยืดหยุ่นของผิวหนัง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ตำแหน่งที่ไขมันสะสม แพทย์จะบันทึกประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการใช้ยา ประวัติการขึ้นของน้ำหนัก การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย สำหรับท่านผู้อ่านท่านต้องถามแพทย์เรื่องที่ท่านสงสัย ขอดูรูปของคนที่เคยทำ ถามเรื่องโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น รวมทั้งบุคคลที่เคยทำเพื่อท่านจะได้ขอข้อมูล

วิธีการทำ

ขั้นแรกแพทย์จะขีดแนวบริเวณที่จะดูดไขมัน แพทย์จะให้น้ำเกลือแก่ผู้ป่วยเพื่อรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกาย หากบริเวณที่ทำกว้างก็จะต้องวางยาสลบ แต่หากไม่กว้างก็จะให้ยานอนหลับ

แพทย์จะกรีดแผลเล็กๆในบริเวณกางเกงใน แล้วจะสอดท่อเล็กซึ่งต่อกับเครื่องดูด เครื่องจะดูดไขมันออกมาตามที่ต้องการ โดยไม่ทำลายเส้นเลือด หรือเส้นประสาทนอกจากนั้นแพทย์อาจจะใช้น้ำเกลือผสมยาชาฉีดเข้าไปก่อนซึ่งจะทำให้เลือดออกน้อย ดูดไขมันได้ง่ายขึ้น ลดอาการบวม นอกจากนั้นยังได้มีการพัฒนาวิธีการสลายไขมันโดยใช้เครื่องultrasound ช่วยเรียกว่า ultrasound-assisted liposuction (UAL) ส่วน tumescent technique คือการฉีดน้ำเกลือเข้าไปบริเวณที่จะดูดก่อน ส่วนวิธีดั่งเดิมเรียก dry liposuction ปัจจุบันนิยมลลดลงเนื่องจากต้องใช้ยาสลบ

การดูดแต่ละครั้งจะใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงหลังทำสามารถกลับบ้านได้ นอกเสียจากปริมาณไขมันที่ดูดมีปริมาณมาก หรือทำการผ่าตัดหลายชนิด

รอยช้ำเลือดที่เกิดจากการดูดไขมันจะใช้เวลา 3 สัปดาห์จึงจะหาย แต่สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติหลังจากการดูด 2-3 วัน ไม่ทำงานหนัก หรือออกกำลังกายหนักในช่วง 4-6 สัปดาห์หลังจากการดูดไขมันและต้องสวมที่รัดหน้าท้องจนกระทั่งแพทย์ให้เอาออก

ผลการรักษา

หลังจากการดูดไขมันจะเริ่มพบกับการเปลี่ยนแปลงประมาณ 3 สัปดาห์ แต่จะเห็นผลเต็มที่เมื่อเวลา 6-12 เดือน แต่ต้องพึงระลึกว่าการออกกำลังกายจะทำให้ผิวหนังและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณนั้นดีขึ้น รูปร่างของท่านจะดูดีขึ้น ไขมันบริเวณนั้นจะไม่เพิ่มขึ้นเนื่องจากได้ดูดเซลล์ไขมันในบริเวณหมดแล้วหากน้ำหนักท่านขึ้นก็เป็นจากไขมันบริเวณอื่น

เนื่องจากผิวหนังของคนสูงอายุจะหย่อนยานดังนั้นผลการรักษาจึงไม่ดีเหมือนคนหนุ่มสาว

การดูดไขมันต้นขา

ปัญหาที่สำคัญของผู้หญิงอีกอย่างคือการที่มีต้นขาใหญ่ ออกกำลังแล้ว อบสมุนไพรแล้ว น้ำหนักก็ลดลงแต่ขนาดต้นขาก็ไม่ยอมลด 1ที่เป็นเช่นนี้เพราะไขมันส่วนนี้จะดื้อต่ออาหาร และการออกกำลังกายขั้นตอนการดูดไม่ต่างจากการดูดไขมันหน้าท้อง ตำแหน่งที่แพทย์จะกรีดคือบริเวณก้น ในบางรายแพทย์จะคาสายยางเพื่อระบายนำเหลือง และจะให้ยาปฏิชีวนะทาบริเวณแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หลังผ่าจะต้องสวมถุงสำหรับรัดบริเวณที่ดูดไขมันเป็นเวลา 6 สัปดาห์หลังจากดูด

ผู้ที่เหมาะสำหรับการดูดไขมัน

  • มีการสะสมของไขมันที่ขาเป็นบางบริเวณ
  • บริเวณดังกล่าวไม่เคยได้รับการผ่าตัด
  • ผิวหนังต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอ ไม่เหี่ยวย่น
  • นำหนักไม่เปลี่ยนแปลงมาก
  • ต้องการลดต้นขาเท่านั้น(ไม่ต้องการลดน้ำหนัก)
  • ไม่มีโรค เช่นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดขาตีบ
  • อารมณ์ไม่แปรปรวน
  • ไม่สูบบุหรี่
  • ต้องยอมรับข้อจำกัดของการดูดไขมัน
  • ไม่หวังผลเลิศเกินไป
การดูดไขมันที่คอ

หน้าและคอเป็นบริเวณที่เห็นได้ง่าย หากมีการสะสมของไขมันในบริเวณนี้ก็จะทำให้ดูสูงวัย ไขมันบริเวณนี้ก็เหมือนกับไขมันบริเวณอื่นข้างต้นคือคุมอาหารหรือออกกำลังกายก็ไม่สามารถลดปริมาณของไขมันบริเวณนี้

วิธีการทำเหมือนกับการดูดไขมันหน้าท้อง ตำแหน่งที่จะกีดแผลมักจะบริเวณใต้คางหรือหลังหู การดูดไขมันที่คอมักจะทำร่วมกับการดึงหน้า

1

ก่อน

1

หลัง


 

 

 

                           

guest

Post : 2013-12-05 20:26:27.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  keloid

 แผลเป็น Keloid

แผลเป็น keloid เกิดจากการที่มีพังผืดเจริญมากตรงบริเวณแผล พังผืดนั้นเจริญมากจนล้ำออกมานอกขอบแผลทำให้เป็นแผลนูนออกมา มักจะไม่หายและกลับเป็นซ้ำใหม่

สาเหตุแผลเป็น

  • การได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
  • แผลจากการผ่าตัด การฉีดยา การเจาะหู
  • แผลติดเชื้อ เช่นสิว ไข้สุขใส งูสวัด
  • แมลงกัด
  • แผลถูกสารเคมี
  • ฮอร์โมน เช่นเกิดมากขณะตั้งครรภ์ หรือพบในพวก acromegaly

ปัจจัยเสี่ยง

  • เพศพบเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
  • กรรมพันธุ์
  • ตำแหน่งที่พบบ่อยได้แก่ หลัง คอ ใบหู
  • ภูมิอากาศ ผู้ที่อยู่ในเขตร้อนของยุโรปเป็นน้อยกว่าเขตหนาว

อาการ

  • เป็นก้อนไม่เจ็บหรือปวด อยู่ตรงตำแหน่งแผลผ่าตัด
  • อาจจะมีอาการคัน
  • สีออกแดงๆ

การรักษา

โดยทั่วไปไม่ต้องรักษา แต่อาจจะทำให้ขนาดเล็กลงได้โดย

  • การแช่แข็ง cryotherapy
  • การฉีด steroid
  • การทำ laser
  • การฉายแสง
  • การผ่าตัด หลังการผ่าตัดมีโอกาสเป็นใหม่มากกว่า 50%
  • การใช้การกดทับ Compression: Pressure จะทำให้แผลแบนได้

การป้องกัน

การป้องกันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

  • หลีกเลี่ยงการผ่าตัดเสรอมสวยในตำแหน่งที่เกิด keloid ได้ง่าย
  • เย็บแผลอย่าให้แผลดึงรั้ง
  • รอยผ่าตัดไม่ควรตัดแนวการเคลื่อนไหวของข้อ
  • แนวผ่าตักควรขนานกับรอยย่นของผิวหนัง
  • หลีกเลี่ยงการผ่าตัดบริเวณกลางหน้าอก

                  

guest

Post : 2013-12-05 20:24:08.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ตัวโลน

 ตัวโลน

เกิดจากตัวเชื้อที่เรียกว่า Pthirus pubis อาศัยอยู่ตามขนโดยเฉพาะบริเวณหัวเหน่าดูดกินเลือดคนเป็นอาหาร หากอดอาหาร 24 ชั่วโมงตัวเชื้อจะตาย

การติดต่อตัวโลน

  • ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เชื้อจะอาศัยอยู่บริเวณขนที่หนา เช่นขนตา ขนคิ้ว ขนบริเวณหัวเหน่าแต่จะไม่ติดบนผม เมื่อมีเพศสัมพันธ์เชื้อจะติดจากขนของคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
  • ติดต่อทางอื่นที่มิใช่จากเพศสัมพันธ์ เช่นการนอนเตียงหรือใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับคนที่ติดเชื้อ ใส่เสื้อผ้าของคนที่ติดเชื้อ หรือนั่งบนโถส้วมที่มีเชื้ออยู่

อาการของตัวโลนเป็นอย่างไร

  • อาการที่สำคัญคืออาการคันบริเวณที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะบริเวณหัวเหน่า
  • อาจจะสังเกตเห็นตัวโลนที่หัวเหน่า
  • สังเกตพบไข่ที่โคนขนหัวเหน่า
  • อาจจะพบรอยช้ำบริเวณที่ตัวโลนดูดเลือด
  • อาจจะพบตัวโลนในบริเวณอื่น เช่นขนรักแร้ เครา ขนคิ้ว ขนตา

การวินิจฉัยตัวโลน

  • ท่านสามารถเห็นไข่หรือตัวเชื้อด้วยตาเปล่า หรืออาจจะใช้แว่นขยาย
  • หากท่านสงสัยก็ไปพบแพทย์ซึ่งจะนำไปส่องกล้อง

การรักษาตัวโลน

  • Permethrin creamทาบริเวณที่ติดเชื้อทิ้งไว้ 10 นาแล้วล้างออก ไม่ใช้บริเวณที่ขนตา
  • Lindane shampoo ใช้สระขนบริเวณที่เป็นทิ้งไว้ 4 นาทีแล้วล้างออก ไม่ใช้บริเวณขนตา ไม่ใช้ในคนที่เป็นโรคลมชัก ไม่ใช้บริเวณที่มีแผล หรือคนท้อง หรือเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี
  • Pyrethrins ใช้สระขนทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก

การป้องกันตัวโลน

  • หลังจากรักษา ท่านสามารถกำจัดไข่โดยการใช้เล็บหยิบออก
  • เปลี่ยนชุดและที่นอนใหม่ที่สะอาด
  • รักษาคู่ขา
  • งดร่วมเพศจนกระทั่งรักษาหายขาดแล้ว
  • หลังจากรักษาแล้วเสื้อผ้า ที่นอน เครื่องใช้ยังติดต่อ เพราะฉะนั้นต้องนำเสื้อผ้า ผ้าห่ม เครื่องนอนทั้งหลายไปต้มและอบแห้งด้วยความร้อน
  • อุปกรณ์ที่ต้มหรืออบไม่ได้ต้องนำอุปกรณ์ดังเกล่าเก็บไว้ในถุงหรือลังไว้ 2 สัปดาห์

                       

guest

Post : 2013-12-05 20:20:58.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  หิด

 โรคหิด Scabies

1

ตัวเชื้อหิด

1

ผื่นที่ซอกนิ้ว

หิดเป็นโรคที่เกิดจากปาราสิตไชเข้าผิวหนังทำให้เกิดตุ่มคัน หิดเป็นโรคติดต่อโดยการสัมผัสกันโดยตรง สามารถเกิดที่ผิวหนังได้ทั่วร่างกาย

หิด Scabies

เป็นการติดเชื้อปาราสิตที่มีชื่อว่า Sarcoptes scabiei ตัวเมียจะฝังตัวใต้ผิว และขึ้นมาวางไข่วันละ 2-3 ฟอง ไข่จะใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 10 วันจึงจะเป็นตัวอ่อน

การติดต่อ

โรคนี้จะติดต่อโดยการสัมผัส ระหว่างผิวหนังที่เป็นโรคและผิวหนังปกติ การติดต่อมักจะเกิดเมื่อนอนร่วมกันเป็นเวลานาน การร่วมเพศอย่างเดียวมีโอกาศติดเชื้อนี้น้อย

นอกจากนั้นโรคนี้ยังติดต่อโดยการจับมือ เสื้อผ้า หรือเครื่องใช้ แม้กระทั่งฝาโถส้วมก็สามารถติดต่อได้ เมื่อได้รับเชื้อแล้ว 4-6 สัปดาห์จึงจะเกิดอาการคันดังนั้นแม้ว่ายังไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อหิดได้

อาการของผู้ที่เป็นโรค

  • คันมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน
  • มีรอยเคลื่อนที่ของตัวปาราสิตเป็นรูป s
  • ผิวหนังสีตุ่มสีน้ำตาล


ตำแหน่งที่ติดเชื้อบ่อยคือ ซอกนิ้วมือนิ้วเท้า หัวเหน่า ขาหนีบ ข้อมือ เต้านม อัณฑะ ท้อง ส่วนบริเวณที่พบน้อยได้แก่ฝ่ามือฝ่าเท้า

การวินิจฉัย

  • ขูดบริเวณที่เป็นโรคแล้วส่องกล้องจุลทัศน์จะพบตัวเชื้อโรค
  • ใช้เข็มขูดตามแนวทางเดินเพื่อเอาตัวเชื้อออกมาตรวจ

การรักษา

หลักการรักษาจะต้องรักษาสมาชิกในครอบครัวที่มีความใกล้ชิด และรักาาคู่นอน เสื้อผ้า เครื่องใช้ส่วนตัวก่อนหน้าการรักาาสามวันให้แยกออกไว้อย่างน้อย 3 วัน หรือซักด้วยน้ำร้อนและอบแห้ง

  • ยาที่ใช้รักษาได้แก่ Permethrin cream ทาตั้งแต่คอลงมาทิ้งไว้ 8 ชั่วโมงแล้วล้างออก
  • ยาที่เป็นทางเลือก Lindane ทาตั้งแต่คอลงมาทิ้งไว้ 8 ชั่วโมงแล้วล้างออก
  • ไม่ควรใช้ยานี้ในบริเวณผิวหนังที่มีแผล หรือหลังอาบน้ำใหม่ๆ เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี คนท้อง คนที่มีประวัติโรคชัก
  • การรักษาควรจะรักษาทั้งครอบครัว หรือคู่นอน ที่อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด
  • อาการคันมักจะเกิดจากภูมิแพ้ต่อตัวหิดและอุจาระ ดังนั้นอาจจะมีอาการคันหลังรักษา แต่หากอาการคันเป็นนานเกินสองสัปดาห์หรือมีผื่นเกิดขึ้นใหม่อาจจะพิจารณารักษาใหม่

ยาที่ใช้รักษา

  1. Permethrin cream 5%

    ยานี้ฆ่าทั้งตัวเชื้อ และไข่ ให้ทาอาทิตย์ละครั้งสองอาทิตย์ติดต่อกันเป็นยาที่องค์การอาหารและยาของอเมริกาแนะนำให้ใช้

  2. Crotamiton lotion 10% and Crotamiton cream 10%

  3. Lindane lotion 1%

    เนื่องจากยานี้มีผลข้างเคียงมากจึงไม่แนะนำให้ใช้เป็นยาตัวแรก จะใช้ในกรณีที่ใช้ยาอื่นไม่ได้ผล และไม่ควรใช้ในเด็ก คนที่มีประวัติชัก คนตั้งครรภ์ คนที่กำลังให้นม หรือมีโรคผิวหนัง

  4. Ivermectin

    เป็นยารับประทานจะใช้ในกรณีที่ติดเชื้อรุนแรง หรือใช้ยาอื่นแล้วไม่ได้ผล

การป้องกัน

  • ใช้ยาให้ครบ
  • รักษาสมาชิกในครอบครัว
  • งดมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ยังมีอาการ
  • นำเสื้อผ้าไปต้มที่อุณหภูมิ 130 องศาและอบร้อนเป็นเวลา 20 นาที
  • สำหรับอุปกรณ์ที่ต้มไม่ได้ให้ทำความสะอาดแล้วเก็บแยกไว้เป็นเวลา 2 สัปดาห์
  • สำหรับบ้านที่ใช้พรมให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นแล้วนำผงไปทิ้ง

1

ผื่นที่ผ่าเท้า

1

ผื่นที่มือ มีรอยแนวเคลื่อนที่

1ผื่นที่ผ่ามือจะเป็นตุ่มแดงๆ คัน 1ผื่นที่อวัยวะเพศ

คำถามที่พบบ่อย

เชื้อหิดจะอยู่ในร่างกายนานแค่ไหน

หากเชื้อหิดอยู่ในร่างกายจะมีอายุ 1-2 เดือน หากอยู่ภ่ยนอกร่างกายจะมีอายุ 2-3 วัน เชื้อหิดจะตายเมื่อุณหภูมิมากกว่า 50 องศา

จะติดหิดมาจากสัตว์เลี้ยงได้หรือไม่

ไม่ของสัตว์และของคนเป็นคนละสายพันธ์

จะติดโรคหิตจากการใช้ผ้าเช็ดตัว หรือสระว่ายน้ำได้หรือไม่

มีโอกาสติดเชื้อหิดจากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มาก นอกเสียจากว่าเสื้อผ้าดังกล่าวถูกใช้โดยคนที่เป็นหิดอย่างรุนแรงเช่นผู้ป่วยที่มีภูมิบกพร่อง

เราจะเอาเชื้อหิดออกจากผ้าได้อย่างไร

  • ปรกติเชื้อหิดจะมีอายุไม่เกิน 3 วันหากอยู่นอกร่างกาย ดังนั้นหากเราสงสัยก็แยกเสื้อผ้าสักสามวัน
  • ซักผ้าในน้ำร้อน และอบแห้ง

หากไปสัมผัสกับคนที่ติดหิดจะต้องทำอะไร

การที่จะพิจารณาว่าติดหิดหรือไม่จะพิจารณาจาก

  • ชนิดของโรคหิตหากเป็นชนิดไม่รุนแรงและเพียงแค่จับมือก็มีความเสี่ยงต่ำ หากผู้นั้นเป็นหิดรุนแรงเพียงแค่สัมผัสมือก็มีความเสี่ยงที่จะติดสูง
  • ระยะเวลาที่ผิวหนังสัมผัสกัน หากผิวหนังสัมผัสกันนานก็มีโอกาศติดเชื้อหิดสูง
  • ผู้ที่เราสัมผัสได้รับการรักษาหรือยัง หากรักษาแล้วโอกาศติดเชื้อหิดจะน้อยลง
  • หากการสัมผัสกับคนที่สงสัยและสัมผัสไม่นานก็ไม่น่าจะติดเชื้อหิด
  • หากสัมผัสกับคนที่เป็นหิดชนิดรุนแรงแม้ว่าแค่สัมผัสมือก็มีความเสี่ยงที่จะติดหิด

guest

Post : 2013-12-05 20:18:24.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ผิวหนังโรคแพ้ภูมิ Auto-immune

 โรคแพ้ภูมิตัวเอง

ระบบภูมิคุมกันของเรามีไว้เพื่อป้องกันโรค เมื่อมีการติดเชื้อโรคเช่น แบคทีเรีย ไวรัสหรือเชื้อราร่างกายเราจะสร้างภูมิคุมกันขึ้นมาเพื่อต่อต้านหรือทำลายเชื้อโรค แต่ภูมิของร่างกายคนเราทำงานมากไป หรือเกิดความผิดปกติทำให้ภูมินั้นมาทำลายเนื้อเนื้อเยื่อของเรา เช่น ลิ้นหัวใจ กระดูก ปอดและผิวหนัง โรคบางอย่างอาจจะมีอาการที่ผิวหนังก่อนบริเวณอื่น หรืออาการที่ผิวหนังอาจจะบ่งบอกความรุนแรงของโรคได้ ดังนั้นหากสังเกตว่าเกิดโรคขึ้นจะทำให้การรักษาได้เร็ว

ผื่นโรค Scleroderma

โรคหนังแข็ง

ผู้ป่วยโรคนี้จะมีผิวหนังแข็ง หลอดเลือดตีบทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการกลืน โรคไต ความดันโลหิตสูง 

ผื่น Discoid

โรคผิวหนัง Discoid LE

เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากภูมิคุ้มกันมีปฏิกิริยากับผิวหนัง 

ผื่นแพ้แสง Photosensitivity

โรคแพ้แสงแดด

เมื่อผู้ป่วยถูกแสงแดดจะเกิดผื่นขึ้นที่ผิวหนัง สาเหตุอาจจะเกิดจากยา โรคโรคแพ้ภูมิ

ผื่นโรค SLE

ผื่น SLE

โรคนี้จะมีผื่นที่มีลักษณะเหมือนผีเสื้อนที่ใบหน้า ผื่นจะเป็นมากเมื่อตากแดด 

 

                         

guest

Post : 2013-12-05 20:16:58.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ผิวหนังติดเชื้อไวรัส

 ผิวหนังติดเชื้อไวรัส

viral infection

โรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสมีด้วยกันหลายโรคแบ่งออกเป็น2 จำพวกได้แก่ DNA และ RNA ไวรัสซึ่งสามารถทำให้เกิดโรคได้หลายชนิด เช่นหัด หัดเยอรมัน ไข้สุกใส หูดเป็นต้น

ในบทความนี้จะกล่าวถึงโรคที่พบบ่อย และแนวทางการรักษา ท่านสามารถคลิกที่ภาพเพื่ออ่านรายละเอียด

เชื้อไวรัสสามารถทำให้เกิดผื่นได้หลายโรค บางชนิดเป็นผื่นทั้งตัว บางชนิดมีผื่นเฉพาะที่ จะทบทวนนำโรคที่พบบ่อยๆให้ได้อ่าน

ไวรัสที่ทำให้เกิดผื่นทั้งตัว

หัด

โรคหัด

เป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อย คนที่ได้รับเชื้อจะมีไข้สูง 3-7 วันจึงจะมีผื่นขึ้น ผื่นจะขึ้นที่หน้าก่อนแล้วจึงลามไปทั่วทั้งตัว การดูแล โรคแทรกซ้อน และการป้องกัน


หัดเยอรมัน

โรคหัดเยอรมัน

เป็นโรคติดต่อมักจะเป็นในเด็ก เด็กที่แข็งแรงมักจะไม่เป็นปัญหา แต่สำหรับคนท้องต้องอยู่ห่างๆผู้ป่วย 

 


ไข้สุกใส

ไข้สุกใส

โรคไข้สุขใสเป็นดรคติดต่อเกิดจากการติดเชื้อ varicella zoster virus ทำให้มีผื่นลักษณะเป็นตุ่มน้ำใส ต่อมาเป็นแผล การดูแล โรคแทรกซ้อน และการป้องกัน


ผื่นกุหลาบ

ผื่นกุหลาบ

เกิดจากการติดเชื้อกลุ่ม herpes ทำให้เกิดไข้สูง 3-4 วัน ไข้เริ่มลงจึงเกิดผื่นขึ้น การติดต่อ การรักาา และการป้องกัน อ่านที่นี่


โรคมือเท้าปากเปื่อย

มักจะเป็นในเด็ก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส Coxsackievirus ทำเกิดผื่นที่ ปาก มือ เท้า โรคนี้ไม่มีการรักษา และไม่มีการป้องกัน 


ไวรัสที่ทำให้เกิดผื่นเฉพาะที่

เริม

โรคเริม

เกิดจากเชื้อ Herpes simplex ทำให้เกิดการอักเสบที่ ปาก และอวัยวะเพศ เป็นตุ่มใส ผื่นนี้สามารถติดต่อได้โดยการสัมผัส 


งูสวัด

งูสวัด

เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อ Varicella zoster ทำให้เกิดการอักเสบที่ผิวหนังและปลายประสาท มีผื่นเป็นตุ่มน้ำ ปวดแสบปวดร้อนมาก 


หูดข้าวสุข

หูดข้าวสุข

เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัสมักจะเป็นในเด็ก 


หูด

หูด

เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัส human papilloma virus ติดต่อโดยการสัมผัส สามารถขึ้นได้ตามร่างกาย 

 


หงอนไก่

เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อ HPV ทำให้เกิดหูดที่มีลักษณะคล้ายกระหล่ำปลี ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 


โรคเริมที่อวัยวะเพศ

เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดตุ่มน้ำที่อวัยวะเพศ เกิดอาการปวด์ 

 

 

guest

Post : 2013-12-05 20:13:33.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ผิวหนังติดเชื้อรา

 การติดเชื้อราที่ผิวหนัง

เชื้อราสามารถทำให้เกิดโรคที่ผิวหนัง กลาก เกลื้อนสังคัง เชื้อราที่เล็บ เชื้อราที่ผม ฮ่องกงฟุต เชื้อราในปาก เชื้อราในช่องคลอด

การติดโรคเกิดจากการได้รับเชื้อจากการสัมผัส และมีปัจจัยเรื่องผิวหนังที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ การรักษามีทั้งยาทา ยาอม ยากิน

ปรกติเราจะพบเชื้อราได้ตามสิ่งแวดล้อม หากมีปัจจัยการติดเชื้อพร้อมเช่น มีการได้รับเชื้อ และผิวหนังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงก็จะทำให้มีการติดเชื้อราขึ้น

การติดเชื้อราที่ผิวหนังแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ๆสองชนิดได้แก่

โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อ Dermatophyte infection

เชื้อราเหล่านี้ได้แก่

  • Trichophyton rubrum
  • Microsporum canis
  • Trichophyton mentagrophytes

เชื้อเหล่านี้มักจะทำให้เกิดโรคที่ผิวหนัง เล็บ ผม ขาหนีบ โรคที่พบได้แก่

การติดเชื้อราและการป้องกัน

ความรู้เกี่ยวกับเชื้อรา การติดต่อ การป้องกัน การรักษา 


กลาก

กลากที่ลำตัว

เป็นการติดเชื้อราที่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังมีการอักเสบ ผิวจะคันและมีขุย การป้องกัน การรักษา 


กลากที่หนังศีรษะ

ผมร่วง มีรังแค คันศีรษะเป็นอาการของเชื้อราที่หนังศีรษ


สังคัง

สังคังหรือเชื้อราที่ขาหนีบ

เชื้อราที่ขาหนีบหรือที่เรียกว่าสังคัง มักเป็นในวัยรุ่น คัน 


เชื้อราที่เล็บ

เชื้อราที่เล็บ

เชื้อราที่เล็บเป็นโรคเรื้อรังต้องรักษาเป็นเวลานาน 


ฮ่องกงฟุต

ฮ่องกงฟุต

เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราทำให้ผิวหนังดังกล่าวมีการอักเสบ บางรายมีการติดเชื้อแบคทีเรีย 

 


เชื้อราที่หน้า

เชื้อราที่หน้ามักจะลามมาจากเชื้อราที่ลำตัว หรือขา อาการไม่ต่างกับเชื้อราตามลำตัว เมื่อเป็นแล้วจะเสียโฉมหรือไม่ 

โรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อรา Yeast

เชื้อราชนิดนี้ทำให้เกิดโรคที่ผิวหนังดังนี้

การติดเชื้อราที่รักแร้

การติดเชื้อรา Candida albican ที่ผิวหนังเกิดจากผิวหนังที่อับชื้น ร้อน และมีการเสียดสี ทำให้ติดเชื้อราได้ง่าย 


เกลื้อน

เกลื้อน

เกลื้อเป็นการติดเชื้อราที่ผิวหนัง ไม่มีอาการคัน ผื่นของเกลื้อนจะมีสองแบบคือแบบจาง หรือผื่นมีสีเข้มขึ้น อ่านเรื่องการป้องกัน การรักษา 


เชื้อราในปาก

เกิดจากการติดเชื้อ Candida albican ทำให้เกิดครีมสีขาวที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม เพดานปาก

 


การรักษาโรคเชื้อรา

ยาที่ใช้รักษาเชื้อรามีด้วยกันหลายชนิด และสามารถใช้ทั้งยาครีม ยาอม หรือยารับประทาน 

 

 

 

 

guest

Post : 2013-12-05 20:11:03.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรีย

 การติดเชื้อแบททีเรีย

ผิวของทารกแรกคลอดจะเป็นผิวที่บริสุทธิ์ไม่มีเชื้อโรค ต่อมาก็จะมีเชื้อโรคมาอาศัยบนผิวเชื้อนี้ไม่ก่อให้เกิดโรค ผิวหนังแต่ละก็ส่วนก็เชื้อโรคไม่เหมือนกัน หากมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมก็อาจจะทำให้เกิดโรค เช่น หากเชื้อมีการเจริญมากไป หรือมีความอับชื้น หรือมีการเสียดสีของผิวหนัง หรือมีแผล หรือร่างกายเราอ่อนแอ สาเหตุต่างๆดังกล่าวจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง หากการรักษาล่าช้าก็อาจจะทำให้เสียชีวิต

การวินิจฉัย

ทำได้ง่าย จากประวัติการเจ็บป่วย การดูผื่นหรืออาจจะนำเอาหนองไปตรวจย้อมหรือเพราะเชื้อก็จะทำให้ทราบสาเหตุของการติดเชื้อ

การรักษา ส่วนใหญ่จะตอบสนองดีต่อยาปฎิชีวนะชนิดรับประทาน ส่วนยาทามักจะไม่ค่อยได้ผลและอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง เนื้อหาและรูปภาพที่แสดงจะเป็นโรคที่พบบ่อย

ผิวหนังอักเสบ impetigo

ผิวหนังอักเสบเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียทีผิวหนัง เกิดจากเชื้อ Staphylococcus ทำให้มีตุ่มหนองขึ้นโดยมากเป็นที่หน้า


การอักเสบของต่อมขน Folliculitis

ต่อมขนอักเสบเป็นการอักเสบที่ต่อมขนเกิดจากเชื้อ Staphylococcus ทำให้มีตุ่มแดง หากเชื้อลามไปรากขนจะทำให้มีตุ่มหนอง


ไฟลามทุ่ง Erysipelas

ไฟลามทุ่งเป็นการเสบของผิวหนังและลามเข้าระบบน้ำเหลืองเกิดจากเชื้อ Streptococcus


ผิวหนังอักเสบ Cellulitis

ผิวหนังอักเสบคือการอักเสบของผิวหนัง โดยเริ่มต้นที่ผิวหนัง แล้วลามลงสู่ชั้นใต้ผิวหนัง อาจจะเริ่มจากผิวที่มีแผลแมลงกัด พุพอง หรือเกิดหลังจากไข้สุกใส ผู้ป่วยเบาหวาน หรือภูมิคุ้มกันไม่ดี สามารถเกิดโรคได้โดยที่ผิวหนังปกต


 

ฝี Carbuncle

ฝีเป็นการอักเสบของต่อมขนหลายต่อมรวมกัน ทำให้เกิดก้อนซึ่งมีหนองอยู่ข้างใน ก้อนที่อยู่ชิดผิวหนังจะแตกออกมา


เล็บขบ Paronychia

เล็บขบเล็บขบหมายถึงภาวะที่มีปลายเล็บทิ่มเข้าบริเวณผิวหนังที่ปลายเล็บ จะเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อข้างเล็บทำให้เกิดอาการเจ็บปวด


ผิวอักเสบ Ecthyma

ecthymaเป็นการติดเชื้อที่ผิวหนัง มีผื่นผุพอง และแตกเป็นแผล มีสะเก็ดหนองคลุม


ผิวหนังอักเสบ Necrotizing Fasciitis

เป็นการอักเสบ และมีการทำลายของกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เข้าทางแผล และมีการหลังสารที่เป็นพิษต่อเนื้อเยื่อ และกล้ามเนื้อ

 

 

 

guest

Post : 2013-12-05 20:08:24.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  สิว สิว สิว

 

Acne หรือสิว

สิวเป็นการอักเสบของระบบต่อมไขมัน (sebaceous) ในรูขุมขน ปกติไขมันที่สร้างจากต่อมไขมันจะออกมาตามเส้นขน หากมีการอุดตันของทางเดินก็จะทำให้เกิดสิว สิวมีหลายชนิดที่พบบ่อยๆได้แก่ สิวธรรมดาที่ไม่มีการอักเสบหรือที่เรียกว่า Acne vulgalis สิวหัวดำ สิวที่มีการอักเสบเป็นหนอง บางรายมีตุ่มหนองด้วย

การรักษาจะต้องดูแลตัวเอง และการใช้ยา

สิว

สิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยโดยเฉพาะวัยรุ่น ต้ำแหน่งที่พบสิวจะเป็นตำแหน่งที่มีต่อมไขมันมาก เช่นใบหน้า หน้าอก หลัง สาเหตุที่แท้จริงไม่มีใครทราบ แต่เชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ส่วนเรื่องอาหารยังไม่มีหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกันในการรักษาจะต้อง

  • ล้างหน้าอย่างนุ่มนวล
  • พยายามแตะผิวหน้าให้น้อยที่สุด
  • หลีกเลี่ยงแสงแดด
สาเหตุการเกิดสิว 
สิว สิวเกิดจากต่อมไขมันที่อุดทัน และเมื่อมีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปในต่อมไขมันก็จะทำให้มีการอักเสบ


การแบ่งชนิดของสิว 
สิวมีทั้งวิวที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน และมีโรคแทรกซ้อน การแบ่งชนิดของสิวจะทำให้การรักษาแบ่งตามความรุนแรงของสิว


การรักษาสิว 
การรักาาสิวจะต้องประกอบไปด้วยการดูแลตัวเอง การกำจัดปัจจัยเสี่ยง การรักาาด้วยยาซึ่งจะแบ่งตามความรุนแรงของสิว


ยารักษาสิว 
ยารักษาสิวแบ่งออกหลายชนิดจะใช้ตามความรุนแรงของสิว การเลือกใช้ควรจะปรึกษาแพทย์ เพราะยาบางชนิดมีผลต่อทารกในครรภ์


ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิว

  • สิวเกิดจากความสกปรกของใบหน้าใช่หรือไม่ หากคุณเชื่อว่าสิวเกิดจากความสกปรกคุณจะล้างหน้าบ่อยและล้างแรงซึ่งจะทำให้หน้าสูญเสียไขมัน และความชุ่มชื้น และเกิดระคายเคืองบนใบหน้าทำให้เกิดสิวมากขึ้น สิวมิใช่เกิดจากความสกปรกแต่เกิดจากเซลล์ที่ตายของผิวหนัง และสิ่งสกปรกร่วมกับไขมัน วิธีที่ถูกต้องให้ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งและซับเบาๆด้วยผ้า
  • สาเหตุของสิวส่วนใหญ่เกิดจากเครื่องสำอางที่ใช้
  • การรักษาสิวต้องใช้เวลา ควรปรึกษาแพทย์ในรายที่เป็นมากหรือไม่หาย
  • ความเครียดอาจจะทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น
  • สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิสิว เช่นความสกปรก ละอองไขมันจากการปรุงอาหาร น้ำมันเครื่องเป็นต้น

สิ่งที่ต้องระวังในการรักษาสิวสำหรับคนท้อง

  • อนุพันธ์ของวิตามินเอทั้งชนิดกินและทา เพราะอาจจะก่อให้เกิดผลเสียต่อการตั้งครรภ์
  • ยาคุมกำเนิด
  • ยาปฏิชีวนะกลุ่ม tetracyclin

                   

guest

Post : 2013-12-05 19:47:24.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โรค Aspegillosis

 การติดเชื้อราAspergillosis

เชื้อที่เป็นสาเหตุคือเชื้อราในกลุ่มAspergillus สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในร่างกายได้หลายระบบได้แก่ หู ตา จมูก ไซนัส และปอด การติดเชื้อรานี้บางคนเชื้อจะลุกลามไปยังกระดูก สมอง เยื่อหุ้มสมอง

เชื้อราชนิดนี้ติดต่อโดยการที่หายใจเอาสปอร์เข้าไปในปอดทำให้เกิดติดเชื้อที่ปอด แม้ว่าสปอร์ของราชนิดนี้จะมีอยู่ในอากาศ แต่คนปกติเมื่อหายใจได้รับเชื้อรานี้มักจะไม่เกิดโรค แต่สำหรับคนที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่นได้รับเคมีบำบัด ได้รับยาsteroid มะเร็ง หรือผู้ที่ใส่เครื่องช่วยหายใจหรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อได้รับเชื้อนี้จะทำให้เกิดการติดเชื้อที่ปอด ผู้ที่ติดเชื้อนี้มักจะเสียชีวิตเนื่องจาก

  • เชื้อมักจะเกิดในคนที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดีเป็นพื้นฐาน เช่นผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด
  • ยาที่ใช้รักษาเชื้อราชนิดนี้ยังให้ผลไม่ดีนัก

สาเหตุ

เชื้อAspergillus เป็นรูปแท่งมีลักษณะที่สำคัญคือมีการแตกแขนงเป็นมุม 45 องศา เป็นเชื้อราที่พบได้ทุกหนแห่งโดยเฉพาะในดิน น้ำ เศษใบไม้ที่หมักหมม และยังพบได้ตามระบบปรับอากาศ เชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่ A. fumigatus and A. flavus ร่างกายจะได้รับเชื้อนี้โดยการหายใจเอาสปอร์เข้าไป แต่บางคนก็เกิดการติดเชื้อราในหู โดยทั่วไปภูมิของร่างกาย สามารถที่จะกำจัดเชื้อนี้ออกจากร่างกาย หากร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อนี้ออกจากร่างกาย ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้หลายรูปแบบดังต่อไปนี้

 


 

Allergic bronchopulmonary aspergillosis (ABPA)

Allergic bronchopulmonary aspergillosis (ABPA) การวินิจฉัยทำได้ยากเนื่องจากอาการของผู้ป่วยเหมือนอาการไข้หวัดหรือหอบหืดที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ นอกจากนั้นเรายังสามารถพบเชื้อนี้อาศัยอยู่ในทางเดินหายใจของคนปกติ การวินิจฉัยสามารถทำได้โดยการส่องกล้องเข้าไปในปอดแล้วใช้น้ำล้างเอาเชื้อไปส่งตรวจ หรือจากการใช้ตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ พบการติดเชื้อในผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับประทานยาsteroid เป็นเวลานาน หรือเป็นโรคcystic fibrosis การติดเชื้อนี้ไม่รุนแรงผู้ป่วยมักจะมีอาการดังนี้
  • สำหรับคนที่เป็นหอบหืดมักจะมีอาการหอบเพิ่ม
  • ไข้ครั้นเนื้อครั้นตัว
  • ไอ ไอมีเสมหะปนเลือด น้ำหนักลด หายใจหอบ
  • บางรายมีอาการไซนัสอักเสบร่วมด้วย

การวินิจฉัย

 

ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักจะมีความผิดปกติหลายอย่างเช่น มีหอบหืด เจาะเลือดพบเม็ดเลือดที่เรียกว่าeosinophil สูง มีระดับภูมิคุ้มกันIgE สูง x-ray ปอดพบมีรอยโรค การรักษา Allergic bronchopulmonary aspergillosis (ABPA) การติดเชื้อชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องให้ยาฆ่าเชื้อรา การรักษาเพียงให้การรักษาโรคหอบหืด หากก้อนมีขนาดโตและผู้ป่วยมีอาการไอเป็นเลือดก็อาจจะต้องผ่าตัดเนื่องจากโรคนี้เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้การรักษาต้องให้ steroid ชนิดกิน

Aspergilloma

 

หมายถึงการติดเชื้อราในปอดที่เชื้อราก่อตัวเป็นก้อนในปอด การติดเชื้อชนิดนี้มักจะเกิดบนแผลเป็นของผู้ป่วยที่เคยเป็นวัณโรคหรือมีพังผืดที่ปอด ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการ พบได้จากการx-ray ปอด หากมีอาการจะมาด้วยเรื่องไอมีเสมหะมีเลือด บางรายอาจจะออกมากจนถึงกับเสียชีวิต

การวินิจฉัย

  • จากx-ray พบก้อนในตำแหน่งวัณโรค
  • computer x-ray อาจจะพบก้อนในตำแหน่งโพรงฝี

การรักษา

หากไม่มีอาการก็ไม่ต้องทำอะไร หากไอมีเลือดออกต้องผ่าตัดเอาก้อนออก

Invasive fungal infection หมายถึงการติดเชื้อราที่แพร่กระจายไปอวัยวะต่างของร่างกายตามหลอดเลือด ในระยะนี้ผลการรักษามักจะไม่ได้ผลInvasive fungal infection ผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันไม่ดี และมีอาการหลายระบบ มีอัตราการเสียชีวิตสูง อาการที่สำคัญคือAspergillosis - chest X-ray

    • ประมาณร้อยละ 25-30%จะไม่มีอาการ
    •  
    • ส่วนใหญ่มาด้วยเรื่องปอดบวม
    •  
    • ผู้ป่วยจะมีไข้
    • แน่นหน้าอก ไอเล็กน้อย
    • บางรายอาจจะมีอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจากปอดแตก มีลมรั่วในปอด
    • ในรายที่เป็นรุนแรงปัสสาวะจะมีเลือดปน บางคนปัสสาวะออกน้อย
    • การติดเชื้ออาจจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่นกระดูก สมอง
ปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ Invasiv Aspergillsis
  • ผู้ที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำ
  • ผู้ที่มีการเปลี่ยนอวัยวะ
  • ผู้ที่มีการปลูกถ่ายไขกระดูก
  • สภาวะที่มีเชื้อaspergillus มากซึ่งสามารถแก้ไขโดยการติดเครื่องกรองอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA filters จัดระบบไหลเวียนของอากาศในห้อง การป้องกันนี้เหมาะสำหรับหน่วยงานที่มีผู้ป่วยมากๆ

การวินิจฉัย

สำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อนี้ที่ปอดการx-ray ปอดจะช่วยในการวินิจฉัย

  • พบโพรงฝีที่ปอด
  • เป็นก้อนเล็กในปอด หลายก้อนหรือก้อนเดียว
  • ไม่พบน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด
  • x-ray computer จะพบลักษณะเฉพาะคือhalo  ตรงกลางใส ส่วนรอบทึบ

Cerebral aspergillosis หมายถึงรูปแบบของการติดเชื้อ Invasiveaspergillosis ซึ่งเชื้อมีการแพร่กระจายไปที่สมอง

  • พบได้ร้อยละ 10-20%ของผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อชนิด Invasiveaspergillosis
  • ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ อ่อนแรงแขนขาข้างใดข้างหนึ่ง ซึมลง
  • ไข้

การวินิจฉัย

ทำx-ray computer ปอดหรือสมอง หากพบเป็นก้อนหรือโพรงฝี ให้ใช้เข็มเจาะเอาหนองไปตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ

การรักษา

  • เนื่องจากเมื่อติดเชื้อนี้แล้วอัตราการตายจะสูง ดังนั้นหากมีผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง เช่นผู้ป่วยมะเร็ง เม็ดเลือดขาวต่ำ หรือผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ ควรจะป้องกันโดยการจัดระบบอากาศแบบlaminar air flow ติดเครื่องกรองอากาศที่มีHepa filter
  • สำหรับการติดเชื้อชนิด Invasive fungal infection จะมีอัตราการตายประมาณ 50-95%และเสียชีวิตเร็ว

     

  • หากพบว่าเม็ดเลือดขาวต่ำเกินไปก็ลดยาที่กดภูมิคุ้มกัน
  • การให้ยารักษาจะให้ยา 2 ชนิดคือ Amphotericin B และ Itraconazole

guest

Post : 2013-12-05 19:45:59.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โรค Crytococcus

 การติดเชื้อ Cryptococcal Disease

เชื้อ Cryptococcus เป็นเชื้อราที่พบในดิน และมูลนก การติดเชื้อจะพบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันลดลงเช่นผู้ป่วยโรคเอดส์ การใช้ยา steroid มะเร็ง เชื้อเมื่อเข้าสู่ร่างการจะไปอยู่ที่ปอด ถ้าภูมิปกติก็จะทำลายเชื้อนั้น แต่ถ้าภูมิไม่ดีเชื้ออาจจะอยู่ที่ปอดหรือแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย เชื้อนี้ชอบสมองผู้ป่วยโรคเอดส์จะมีการติดเชื้อที่สมองมากที่สุด

อาการของโรค

ตุ่มที่ผิวหนังที่เกิดเชื้อนี้

อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ มีไข้ ปวดตามตัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ซึมลง อาจจะมีอาการชัก ในรายที่เป็นมากอาจจะมีอาการปอดบวม และเชื้ออาจจะลุกลามไปอวัยวะอื่น เช่นปอด ผิวหนัง อาจจะมีต่อมน้ำเหลืองโต อาจจะมีผื่นที่ผิวหนัง

การตรวจวินิจฉัย

ตรวจหา cryptococcal antigen (CRAG) ในเลือด, น้ำไขสันหลัง cerebral spinal fluid (CSF), ย้อมหาเชื้อในน้ำไขสันหลัง  ตรวจ  x-ray ปอด ผู้ป่วยที่ชักและซึมให้ตรวจ CT scan

การรักษาโรค

ให้ยา Fluconazole ชนิดกินหรือฉีด. Amphotericin-B และ 5-flucytosine (5-FC) แล้วตามด้วย Fluconazole

การป้องกันการรับเชื้อ

ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าอุจาระนกพิราบจะนำเชื้อ cryptococcus

การให้ยาป้องกันปฐมภูมิ

  • เมื่อระดับเซลล์ CD4ต่ำกว่าl < 50 หรือน้อยกว่า 5% 

     

  • ไม่แนะนำให้ตรวจหา Cryptococcal antigen เป็นประจำ เนื่องจากอุบัติการณ์ของโรคนี้ต่ำ

     

  • ให้แนะนำให้ยาป้องกันการติดเชื้อ Cryptococcus เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าผู้ป่วยจะมีอายุยาวขึ้น  เสี่ยงต่อการดื้อยา เสี่ยงต่อปฏิกิริยาต่อต้านยารักษาโรคเอดส์ยาที่ให้ได้แก่ Fluconazole 100-200mg/day.

     

  • สำหรับคนท้องไม่ควรที่จะได้รับยาป้องกันการติดเชื้อเนื่องจากอุบัติการณ์ของโรคนี้ต่ำและเสี่ยงต่อพิการแต่กำเนิดของทารก

     

  • หากจะเป็นต้องให้ยาป้องกันการติดเชื้อในคนท้อง ต้องรีบหยุดยาเมื่อระดับ CD-4 มากกว่า 100

     

การให้ยาป้องกันทุติยภูมิ(ให้ยาป้องกันหลังจากติดเชื้อ)

  • ผู้ป่วยที่เป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อ Cryptococcus จะต้องได้รับยาป้องกันการติดเชื้อไปตลอดชีวิตโดยการให้ยา Fluconazole
  • เมื่อได้รับยาต้านไวรัส HIV และเซลล์ CD-4 มากกว่า 100 เป็นระยะเวลามากว่า6เดือน ก็สามารถหยุดยาป้องกันการติดเชื้อ
  • หากระดับเซลล์ CD-4 ลดต่ำกว่า 100 ก็สามารถให้ Fluconazole

ผลข้างเคียงของยา

Fluconazole Itraconazole : คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดท้อง  .

Amphotericin B:ทำให้ไตเสื่อม โลหิตจาง  ไข้หนาวสั่น ปวดศีรษะ อาเจียน ท้องร่วง ปวดท้อง

Drug Interactions

Fluconazole: ให้หลีกเลี่ยงยาเหล่านี้ Hismanal, Seldane, Warfarin, Rifampin, oral contraceptives,Cimetidine, Dilantin,Hydrochlorothiazide, and Sulfonylureas.

 Amphotericin B: หลีกเลี่ยงยา steroids, ยารักษามะเร็ง antineoplastics

 Flucytosine, ต้องตรวจเลือด การทำงานของไต

guest

Post : 2013-12-05 19:44:22.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โรค Candiasis

 เชื้อราในปาก oral Candidiasis (Thrush)

เชื้อราในปากมักจะเกิดในคนที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดีเช่น โรคเอดส์ โรคเบาหวาน เชื้อราในปากมักจะเกิดจากเชื้อ Candida albican จะมีผื่นสีขาวเป็นครีมที่กระพุ้งแก้ม ลิ้น และเพดานปาก

เชื้อรา Candidiasis (Thrush)

ฝ้าขาวที่ลิ้น

ฝ้าขาวที่เพดานปาก

 

<> 

ผู้ป่วยโรคเอดส์มักจะติดเชื้อรา Candida albicansที่ปากมากที่สุด โดยมากมักจะเป็นในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ในระยะท้ายของโรค

อาการของโรค

อาการที่ผู้ป่วยนำมามีได้หลายรูปแบบ เช่นเป็นฝ้าขาว ( Thrush)ในปาก หรือผื่นแดง( Erythematous Candidiasis) มักจะเกิดที่เพดานปากและลิ้น ในปากบางคนมีลักษณะปากนกกระจอก อาการที่ผู้ป่วยมาอาจจะมีอาการ กลืนลำบาก เจ็บคอ ฝ้าขาวที่คอ ลิ้น

 ช่องคลอด ;ตกขาว คันช่องคลอดเป็นๆหายๆ

การวินิจฉัย

ตรวจพบฝ้าขาวที่คอ และหรือช่องคลอด ส่งตรวจทางจุลชีวะ

การรักษา

Fluconazole, Nystatin, Clotrimazole Troches or cream, Ketoconazole,Itraconazole การให้ยาควรใช้ยาเฉพาะที่ก่อน เช่น ยากรวกคอ ยาเหน็บ หรือยาทา ถ้าไม่หายจึงใช้ยารับประทาน การให้ยาควรให้ 7 วันอาการจะดีขึ้นใน 2-5 วันแต่อาจจะกลับเป็นซ้ำ

  • ยาเฉพาะที่เช่น ยาอมที่มียา Clotrimazole (100 มก)อมวันละ 5 ครั้งหรืออาจจะใช้ชนิดที่ใช้สอดช่องคลอดอมวันละครั้งหรืออาจจะใช้ยาที่มีส่วนผสมของ Nystatin ถ้าเป็นชนิดที่เหน็บช่องคลอด(100000 ยูนิต)อมวันละ 3 ครั้ง ถ้าเป็นชนิดที่ใช้ในปาก (200000 ยูนิต)อมวันละ 5 ครั้ง หากเป็นชนิด ชนิดครีมจะใช้ทาเชื้อราที่มุมปาก หรือที่เรียกปากนกกระจอกซึ่งมีส่วนผสมของ nystatin, ketoconazole, หรือ clotrimazole
  • ยารับประทาน Ketoconazole(200 มก)วันละครั้ง หรือ Fluconazole (Diflucan) (100 มก)วันละครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์

การป้องกันการติดเชื้อ

จากหลักฐานพบว่าการให้ยาป้องกันเมื่อระดับเซลล์ CD4s น้อยกว่า <75 or 5%โดยให้ยา Fluconazole 100-200mg/dayสามารถลดการติดเชื้อ candida และ cryptococcus แต่ไม่แนะนำให้ยาป้องกันเนื่องจากการรักษาเชื้อราในปากได้ผลดีอัตราการตายของโรคต่ำ เสี่ยงต่อการที่เชื้อ candida ดื้อยาและเสี่ยงต่อการมีปฏิกิริยากับยาตัวอื่น

การป้องกันการรับเชื้อ

เชื้อรา candida สามารถพบได้ที่เยื่อบุในปากและช่องคลอด ยังไม่มีวิธีป้องกันการรับเชื้อ

การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไม่ควรให้ยาป้องกันการกลับเป็นซ้ำของเชื้อราไม่ว่าจะเป็นที่ปาก หรือช่องคลอดเนื่องจากการให้ยาสามารถรักษาได้ผลดี แต่สำหรับผู้ที่กลับเป็นซ้ำบ่อยควรจะให้ Fluconazole 100-200mg/day

ผลข้างเคียงของยา

  • Nystatin: ท้องร่วง เสียดท้องเมื่อได้ยาขนาดสูง.
  • Fluconazole, Itraconazole: คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ปวดท้อง
  • Ketoconazole: มีพิษต่อตับ ปวดศีรษะ  มึนงง

ปฏิกิริยาระหว่างยา

Fluconazole: ให้หลีกเลี่ยงยาเหล่านี้ Hismanal, Seldane, WarfarinRifampin, oral contraceptives,Cimetidine, Dilantin,Hydrochlorothiazide, and Sulfonylureas.

Itraconazole,Ketoconazole.ให้หลีกเลี่ยงยา Seldane,Hismanal, Antacids & ddI, take 2 hrs apart

                      

guest

Post : 2013-12-05 19:40:07.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โรค Histoplasmosis

 Histoplasmosis

ผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์จะเป็นโรคติดเชื้อราชนิดนี้ได้ร้อยละ 5 โดยมากเกิดจากเชื้อที่อยู่ในร่างกายแบ่งตัวเมื่อภูมิร่างกายลดลง

อาการของโรค

มีไข้ น้ำหนักลด รอยโรคที่ผิวหนังมีได้หลายรูปแบบ หายใจลำบาก ซีด ต่อมน้ำเหลืองโต อาจจะทำให้เกิดปอดบวม

การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยจะทำได้ยาก โดยการเพาะเชื้อจากเลือด เสมหะ ไขกระดูก ตัดต่อมน้ำเหลืองหรือผิวหนังตรวจทางพยาธิ 

การรักษา

ยาที่ใช้รักษา Itraconazole, Amphotericin-B (IV), Fluconazole.  liposomal ampho B.

การป้องกันการติดเชื้อ

โอกาสติดเชื้อจะมากขึ้นเมื่อเซลล์ CD4s น้อยกว่า 75 or 5%. ถ้าผู้ป่วยมีอาชีพเสี่ยงต่อการติดเชื้อควรจะได้ยา Itraconazole

การป้องกันทุติยภูมิ

คนที่เคยเป็นโรค  Histoplasmosis จะต้องได้รับยา Itraconazole ไปตลอดชีวิต

การป้องกันการรับเชื้อ

เชื้อนี้จะอยู่ตามพื้น ฝุ่นดังนั้นไม่ควรทำงานที่ทำให้เกิดฝุ่น เช่นกวาดบ้าน ทำความสะอาดรังสัตว์ ทำความสะอาดบ้านเก่า การไปเที่ยวถ้ำ

guest

Post : 2013-12-05 19:37:56.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โรคผิวหนัง

 การติดเชื้อราที่ผิวหนัง

เชื้อราสามารถทำให้เกิดโรคที่ผิวหนัง กลาก เกลื้อนสังคัง เชื้อราที่เล็บ เชื้อราที่ผม ฮ่องกงฟุต เชื้อราในปาก เชื้อราในช่องคลอด

การติดโรคเกิดจากการได้รับเชื้อจากการสัมผัส และมีปัจจัยเรื่องผิวหนังที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ การรักษามีทั้งยาทา ยาอม ยากิน

ปรกติเราจะพบเชื้อราได้ตามสิ่งแวดล้อม หากมีปัจจัยการติดเชื้อพร้อมเช่น มีการได้รับเชื้อ และผิวหนังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงก็จะทำให้มีการติดเชื้อราขึ้น

การติดเชื้อราที่ผิวหนังแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ๆสองชนิดได้แก่

โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อ Dermatophyte infection

เชื้อราเหล่านี้ได้แก่

  • Trichophyton rubrum
  • Microsporum canis
  • Trichophyton mentagrophytes

เชื้อเหล่านี้มักจะทำให้เกิดโรคที่ผิวหนัง เล็บ ผม ขาหนีบ โรคที่พบได้แก่

การติดเชื้อราและการป้องกัน

ความรู้เกี่ยวกับเชื้อรา การติดต่อ การป้องกัน การรักษา 


กลาก

กลากที่ลำตัว

เป็นการติดเชื้อราที่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังมีการอักเสบ ผิวจะคันและมีขุย การป้องกัน การรักษา 


กลากที่หนังศีรษะ

ผมร่วง มีรังแค คันศีรษะเป็นอาการของเชื้อราที่หนังศีรษ


สังคัง

สังคังหรือเชื้อราที่ขาหนีบ

เชื้อราที่ขาหนีบหรือที่เรียกว่าสังคัง มักเป็นในวัยรุ่น คัน 


เชื้อราที่เล็บ

เชื้อราที่เล็บ

เชื้อราที่เล็บเป็นโรคเรื้อรังต้องรักษาเป็นเวลานาน 


ฮ่องกงฟุต

ฮ่องกงฟุต

เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราทำให้ผิวหนังดังกล่าวมีการอักเสบ บางรายมีการติดเชื้อแบคทีเรีย 

 


เชื้อราที่หน้า

เชื้อราที่หน้ามักจะลามมาจากเชื้อราที่ลำตัว หรือขา อาการไม่ต่างกับเชื้อราตามลำตัว เมื่อเป็นแล้วจะเสียโฉมหรือไม่ 

โรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อรา Yeast

เชื้อราชนิดนี้ทำให้เกิดโรคที่ผิวหนังดังนี้

การติดเชื้อราที่รักแร้

การติดเชื้อรา Candida albican ที่ผิวหนังเกิดจากผิวหนังที่อับชื้น ร้อน และมีการเสียดสี ทำให้ติดเชื้อราได้ง่าย 


เกลื้อน

เกลื้อน

เกลื้อเป็นการติดเชื้อราที่ผิวหนัง ไม่มีอาการคัน ผื่นของเกลื้อนจะมีสองแบบคือแบบจาง หรือผื่นมีสีเข้มขึ้น อ่านเรื่องการป้องกัน การรักษา 


เชื้อราในปาก

เกิดจากการติดเชื้อ Candida albican ทำให้เกิดครีมสีขาวที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม เพดานปาก

 


การรักษาโรคเชื้อรา

ยาที่ใช้รักษาเชื้อรามีด้วยกันหลายชนิด และสามารถใช้ทั้งยาครีม ยาอม หรือยารับประทาน 

                

guest

Post : 2013-12-05 19:33:05.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  งูเห่า

 งูเห่า cobra

งูเห่าพบมากในภาคกลาง บริเวณกรุงเทพ สมุทรปราการ อยุธยา อ่างทอง ลพบุรี

มักอยู่ตามป่าและท้องนา ดังนั้นคนที่ถูกกัดบ่อยคือชาวนา ลักษณะที่สำคัญของมันคือเมื่อโกรธมันจะแผ่แม่เบี้ย ชูคอสูงและฉกกัดอย่างรวดเร็ว ยกเว้นเมื่อตกใจมันจะฉกกัดทันทีโดยไม่แผ่แม่เบี้ย ตำแหน่งที่ถูกกัดมักเป็นที่มือและเท้าพิษของงูเป็น Neurotoxin

 

บริเวณที่ถูกกัดจะบวม เลือดออกสีคล้ำอาจจะมีเลือดซึม

พิษเฉพาะที่ [local poisoning]

  • มีอาการเสียวแปลบเกิดขึ้นทันทีตรงบริเวณที่ถูกงูเห่ากัด ต่อมาจะปวดเล็กน้อย อาการปวดจะเพิ่มมากขึ้น มักจะมีรอยเขี้ยวพิษ 2 จุด มีเลือดออกซิบๆ ถ้ารอยเขี้ยวห่างกันมากแสดงว่างูที่กัดมีขนาดใหญ่
  • หลังจากนั้น 30 นาทีบริเวณรอยเขี้ยวจะบวมเล็กน้อย และบวมมากขึ้นช้าๆเฉพาะรอบๆแผลเท่านั้น
หากลืมไม่ขึ้นต้องรีบเข้าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

พิษโดยทั่วไป [Systemic poisoning ]

  • หลังจากงูกัด 30นาที-5 ชั่วโมงเริ่มเกิดอาการแรกคือ เวียนหัว แขนขาไม่มีแรง และง่วงนอนลืมตาไม่ขึ้น
  • ลืมตาไม่ขึ้นซึ่งตอนแรกอาจจะเกิดขึ้นทีละข้างก่อน ข้อนี้ถือเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัย ถ้าเจอผู้ป่วยระยะนี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
  • ตามองไม่ชัด
  • ต่อมาอาการจะเพิ่มมากขึ้น แขนขาหมดแรง ตาหรี่มากขึ้น กระวนกระวาย ลิ้นแข็ง พูดอ้อแอ้น้ำลายมากเพราะกลืนลำบาก
  • เริ่มมีอัมพาตของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกลืนอาหาร อ้าปากไม่ขึ้น
  • หายใจอึดอัด กระสับกระส่ายเพราะมีอัมพาตของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ
  • coma หยุดหายใจ และตาย

ตั้งแต่ถูกงูกัดจนกระทั่งหยุดหายใจอาจกินเวลาประมาณ 8-24 ชั่วโมงขึ้นกับปริมาณของพิษงูที่ได้รับ ถ้าได้รับพิษมากอาจเกิดอาการใน 1 ชั่วโมง หลังจากถูกงูกัด 1ชั่วโมงถ้ายังไม่เกิดอาการบวม และเมื่อถึง 2 ชั่วโมงก็ยังไม่มีอาการแต่อย่างใดย่อมแสดงว่าไม่มีพิษทั่วไป

การรักษา

  1. การรักษาแผล ไม่จำเป็นต้องกรีดแผลหรือกว้านแผล ถ้าตุ่มใสขนาดเล็กไม่ต้องเจาะแต่ถ้าเป็นตุ่มขนาดใหญ่ให้เจาะดูดออกโดยใช้เข็มโดยวิธีปลอดเชื้อ ไม่ให้ถูกฐานของแผล ถ้าแผลสกปรกควรฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก
  2. การให้ยาปฏิชีวนะควรให้ทุกรายเนื่องจากมีเชื้อในปากงู ยาที่ควรให้ได้แก่ pen v 250 mg วันละ 4-8 เม็ด
  3. การให้ serum แก้พิษงูควรให้ในรายที่มีอาการดังต่อไปนี้
  • พูดอ้อแอ้ พูดไม่ชัด ลิ้นคับปาก
  • กลืนไม่ค่อยลง
  • หายใจขัด
  • หายใจไม่ออก
  • หยุดหายใจ

 

guest

Post : 2013-12-05 19:28:37.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  งูจงอาง

งูจงอาง

งูจงอางเป็นงูพิษที่มีลักษณะหัวกลมมน เกล็ดบริเวณส่วนหัวใหญ่ มีเขี้ยว 2 เขี้ยวที่ขากรรไกรด้านบน หน้าตาดุดัน จมูกทู่ มองเผิน ๆ คล้ายกับงูสิงดง ที่บริเวณขอบตาบนมีเกล็ดยื่นงองุ้มออกมา ทำให้หน้าตาของงูจงอางมองดูดุและน่ากลัว ส่วนบริเวณท่อนหางจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันมากที่สุด มีม่านตากลม ลำคอมีขนาดสมส่วน ลำตัวขนาดใหญ่เรียวยาว แผ่แม่เบี้ยได้เช่นเดียวกับงูเห่า งูจงอางที่ยังไม่โตเต็มวัย จะมีขนาดลำตัวเท่ากับงูเห่าดงแต่จะยาวกว่า ทำให้คนทั่วไปที่พบเห็นและไม่เคยเห็นงูจงอางมาก่อน จะเข้าใจผิดว่าเป็นงูเห่าและเรียกว่างูเห่าดง

ตามปกติจะหากินที่พื้นดินแต่ก็สามารถขึ้นต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นงูที่ใช้วิธีการฉกกัดและรัดเหยื่อไม่เป็น ซึ่งไม่สมกับขนาดของลำตัวที่เพรียวยาว ปกติจะเลื้อยช้าแต่จะมีความว่องไวและปราดเปรียวเมื่อตกใจ ถ้าพบเจอสิ่งใดแล้วไม่หยุดชูคอขึ้น จะเลื้อยผ่านไปเงียบ ๆ แต่ถ้าขดตัวเข้ามารวมเป็นกลุ่มแล้วยกหัวสูงขึ้น แสดงว่าพร้อมจู่โจมสิ่งที่พบเห็น เวลาเลื้อยหัวจะเรียบขนานไปกับพื้น แต่เมื่อตกใจหรือโกรธสามารถยกตัวขึ้นชูคอได้สูงประมาณ 1 ใน 3 ของขนาดความยาวลำตัว เทียบความสูงได้ในระดับประมาณเอวของคน จังหวะที่ยกตัวชูสูงขึ้นในครั้งแรกจะมีความสูงมากและค่อย ๆ ลดลงมาอยู่ในระดับปกติตามเดิม ไม่ส่งเสียงขู่ฟ่อ ๆ เมื่อมีสิ่งใดเข้าใกล้เช่นเดียวกับงูเห่า ที่สามารถพ่นลมออกจากทางรูจมูกซึ่งเป็นเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะของงูเห่า แผ่แม่เบี้ยได้เหมือนงูเห่าแต่จะแคบและไม่มีลายดอกจันที่บริเวณศีรษะด้านหลัง มีลายค่อนข้างจางพาดตามขวาง มีลักษณะเป็นบั้ง ๆ แทน

งูจงอางเป็นงูพิษที่สามารถต้านทานพิษงูชนิดอื่น ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม เช่น งูเห่า งูกะปะ เมื่อเกิดการต่อสู้และถูกกัดจะไม่ได้รับอันตรายจนถึงตาย แต่จะกัดและกินงูเหล่านั้นเป็นอาหารแทน งูจงอางมีเกล็ดพิเศษบนศีรษะจำนวน 1 คู่ อยู่บริเวณด้านหลังของเกล็ดกระหม่อม (Parietals) มีชื่อเรียกว่า Occipitals ซึ่งจะมีเฉพาะงูจงอางเท่านั้น มีถิ่นอาศัยอยู่ในป่า ไม่ปรากฏว่าพบตามสวนหรือไร่นา ทำรังและวางไข่ประมาณปีละครั้ง ครั้งละประมาณ 20 - 30 ฟอง ชอบทำรังในกอไผ่ กกและฟักไข่เองจนกว่าลูกงูจะเกิด

งูจงอางมีพฤติกรรมการฉกกัดแบบติดแน่น ไม่กัดฉกเหมือนงูเห่า จึงกัดแล้วจะย้ำเขี้ยว (lock jaw) น้ำพิษมีสีเหลืองและมีลักษณะเหนียวหนืด พิษงูทำลายประสาทเช่นเดียวกับงูเห่าแต่เกิดอาการเร็วและรุนแรงกว่า เนื่องจากมีน้ำพิษปริมาณมากเพราะงูจงอางมีขนาดโตกว่างูเห่า ผู้ถูกกัดจะมีอาการหนังตาตก ขากรรไกรแข็ง พูดไม่ชัด กลืนน้ำลายไม่ได้ แน่นหน้าอก ตาพร่า อ่อนเพลีย เป็นอัมพาต อาจตายเพราะการหายใจล้มเหลว  น้ำพิษของงูจงอางสามารถฉีดออกมาได้ถึง 380-600 มิลลิกรัมในการฉกกัดแต่ละครั้ง ซึ่งอาจมีปริมาณมากถึง 10 เท่าของงูเห่า ทำให้เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อ ที่อันตรายคือกล้ามเนื้อที่ใช้หายใจหยุดทำงาน ดังนั้นหากถูกกัดจะถึงแก่ความตายอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที 

ลักษณะทางกายวิภาค

งูจงอางเป็นงูที่มีความผันแปรในเรื่องของขนาดลำตัวและสีสันของเกล็ดอย่างชัดเจน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับแหล่งที่อยู่อาศัยและสภาพทางภูมิศาสตร์ เช่น งูจงอางที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในแถบทางภาคใต้ของประเทศไทย จะมีขนาดลำตัวที่ใหญ่โตกว่างูจงอางในแถบภาคอื่น ๆ รวมทั้งสีของเกล็ดก็แตกต่างด้วยเช่นกัน งูจงอางในแถบภาคใต้จะมีสีน้ำตาลอมเขียวหรือสีเขียวอมเทา ลักษณะลวดลายของเกล็ดบริเวณลำตัวไม่ค่อยชัดเจน แตกต่างจากงูจงอางในแถบภาคอื่น ๆ เช่น งูจงอางในภาคเหนือ จะมีเกล็ดสีเข้มจนเกือบดำ ซึ่งมักจะเรียกกันว่า จงอางดำ และมีนิสัยดุร้ายกว่างูจงอางในแถบภาคใต้

ส่วนงูจงอางในแถบภาคกลางและหลาย ๆ จังหวัดในแถบภาคอีสาน มักจะมีสีเกล็ดเป็นลายขวั้นตามขวาง ลักษณะเป็นบั้ง ๆ เกือบตลอดทั้งตัว มีนิสัยดุร้ายเช่นเดียวกับงูจงอางแถบภาคเหนือและภาคใต้ แต่มีขนาดของลำตัวที่เล็กกว่า ว่องไวและปราดเปรียว

โดยรวมลักษณะทางกายวิภาคของงูจงอางในแต่ละภาคจะเหมือนกัน มีความแตกต่างเพียงแค่ขนาดของลำตัวเท่านั้น ซึ่งลักษณะทางกายวิภาคของงูจงอาง มีดังนี้

น้ำพิษ

ลักษณะเขี้ยวและต่อมพิษของงูจงอาง

งูพิษ หรือ งูพิษอันตราย (Dangerous Venomous Snakes) มีความหมายเหมือนกันกับคำว่า "งูที่มีความสำคัญในทางการแพทย์" (Snakes of Medical Importance) ซึ่งจะหมายความถึงงูที่มีกลไกของพิษ (Venom apparatus) และปริมาณน้ำพิษที่มีความรุนแรง ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทและระบบโลหิตต่อร่างกายของสัตว์และมนุษย์ ทำให้เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งกลไกลของพิษของงูโดยเฉพาะงูจงอาง ที่มีปริมาณพิษร้ายแรงน้อยกว่างูเห่าแต่ปริมาณน้ำพิษมากกว่า สามารถทำให้ผู้ที่ได้รับพิษเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งลักษณะกลไกพิษของงูจงอาง มีดังนี้

  1. ต่อมผลิตพิษ
  2. ท่อน้ำพิษ
  3. เขี้ยวพิษ
  4. น้ำพิษ

ส่วนประกอบสำคัญต่าง ๆ ของระบบพิษงูจงอาง ได้แก่

ต่อมผลิตพิษ

ต่อมผลิตพิษ (Venom Gland) เป็นต่อมที่ทำหน้าที่สำหรับสร้างพิษงูในงูพิษที่จัดอยู่ในชั้นสูงขึ้นไป ซึ่งได้แก่งูในครอบครัว Elapidae และครอบครัว Viperidae งูจงอางจะมีต่อมพิษที่สามารถเจริญเติบโตและพัฒนาการจนมีขนาดใหญ่ โดยตำแหน่งของต่อมผลิตพิษจะอยู่บริเวณหลังลูกตาทั้ง 2 ข้างในลักษณะของตำแหน่งที่เทียบได้กับกระพุ้งแก้ม

ต่อมผลิตพิษนี้จะมีอยู่ทั้ง 2 ข้างของหัวงูจงอาง ข้างละ 1 อัน โดยบนต่อมผลิตพิษจะมีกล้ามเนื้อพิเศษที่ทำการควบคุมการผลิตพิษของต่อมผลิตพิษ เพื่อเป็นการบังคับให้ต่อมผลิตพิษ บีบตัวและหลั่งน้ำพิษเมื่องูจงอางต้องการ หรือฉกกัดสิ่งที่พบเห็น

ท่อน้ำพิษ

ท่อน้ำพิษ (Venom Duct) เป็นท่อที่มีลักษณะพิเศษที่ทำการเชื่อมต่อกันระหว่างต่อมผลิตพิษ และโคนเขี้ยวพิษของงูจงอาง มีหน้าที่ในการลำเลียงน้ำพิษจากต่อมผลิตพิษ เมื่องูจงอางบีบและหลั่งน้ำพิษไปยังเขี้ยวพิษทั้ง 2 ข้างที่ขากรรไกรด้านล้างด้วย

เขี้ยวพิษ

เขี้ยวพิษ (Venom Fangs) เขี้ยวพิษของงูจงอาง มีลักษณะโค้งงอ มีจำนวน 2 ชุดคือ เขี้ยวพิษจริงและเขี้ยวพิษสำรอง เทียบได้กับลักษณะของเข็มฉีดยา เมื่องูจงอางฉกกัด เขี้ยวพิษจะฝังเข้าไปในเนื้อของเหยื่อหรือผู้ที่ถูกกัดและฉีดพิษเข้าสู่ร่างกายของเหยื่อ ลักษณะเขี้ยวพิษของงูจงอางจัดอยู่ในกลุ่ม Proteroglypha ซึ่งเป็นกลุ่มของงูมีพิษที่มีลักษณะเขี้ยวพิษอยู่ด้านหน้าของขากรรไกรด้านบน เขี้ยวพิษทั้ง 2 จะยึดแน่นติดกับขากรรไกรด้านบน หดพับงอเขี้ยวไม่ได้ ลักษณะของเขี้ยวพิษจะไม่ยาวนัก มีร่องตามแนวยาว (Vertical Groove)อยู่บริเวณด้านหน้าของตัวเขี้ยว จำนวน 1 ร่อง เพื่อสำหรับให้น้ำพิษจากต่อมผลิตพิษไหลผ่าน

ลักษณะปลายเขี้ยวพิษของงูจงอางจะแหลมคม เพื่อใช้สำหรับเจาะทะลุเข้าไปในบริเวณผิวหนังของเหยื่อที่ฉกกัดได้โดยง่าย งูจงอางมีเขี้ยวพิษสำรองหลายชุดซึ่งเขี้ยวสำรองจะหลบอยู่ภายในอุ้งเหงือก เมื่อเขี้ยวพิษจริงหักหรือหลุดหลังจากการฉกกัดหรือด้วยสาเหตุใดก็ตาม เขี้ยวพิษสำรองจะเลื่อนขึ้นมาแทนที่เขี้ยวพิษจริง และจะทำหน้าที่แทนเขี้ยวพิษจริงอันใหม่ต่อไป

น้ำพิษ

น้ำพิษ (Venom) น้ำพิษของงูจงอางประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นโปรตีนและไม่ใช่โปรตีน น้ำพิษของงูจงอางมีลักษณะเป็นของเหลว สีเหลืองเรื่อ ๆ ไม่มีรสและกลิ่น ส่วนประกอบของน้ำพิษที่เป็นโปรตีน จะมีโปรตีนประกอบอยู่ประมาณ 90% ของปริมาณน้ำพิษทั้งหมด และอีก 10% ที่เหลือจะเป็นส่วนที่ไม่ใช่โปรตีน

น้ำพิษของงูจงอางในส่วนที่เป็นโปรตีน สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นน้ำพิษจากต่อมผลิตพิษ (Toxin) และส่วนที่เป็นน้ำย่อย (Enzyme)

กะโหลก เขี้ยวและฟัน

กะโหลกศีรษะของงูจงอาง

กะโหลกศีรษะของงูสามารถแยกแยะวงศ์และสกุลได้ โดยดูจากลักษณะของกะโหลก ฟันและ ขากรรไกร ซึ่งงูจงอางเป็นงูขนาดใหญ่ทำให้มีการพัฒนาร่างกายเพื่อการล่าอาหาร และกลืนเหยื่อ ทำให้กะโหลกของงูจงอางไม่เหมือนกับงูและสัตว์กินเนื้อชนิดอื่น ที่สามารถฉีกเหยื่อออกเป็นชิ้น ๆ การกินเหยื่อของงูจงอางจะใช้วิธีการขยอกเหยื่อทั้งตัว สามารถกินเหยื่อที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของมันเองได้ เนื่องจากขากรรไกรกว้าง โดยอาจจะกินเหยื่อที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวมันได้ ได้โดยการถ่างกระดูกปากและกะโหลกออกจากกัน กะโหลกของงูจงอางถูกสร้างให้ข้างบน ข้างล่าง และกระดูกขากรรไกรสามารถเคลื่อนไปข้างหน้า ข้างหลัง และออกด้านข้างได้โดยอิสระ จากกะโหลก ขากรรไกรล่างจะไม่เชื่อมกับกับคาง สามารถออกไปข้างหน้าได้ เมื่อต้องการ ขยอกเหยื่อมาที่คอหอย

งูจงอางมีเขี้ยว 2 เขี้ยวที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าฟันอื่น และมีฟันที่ข้างกรรไกรล่าง โดยจะอยู่ชั้นนอก ส่วนฟันบนชั้นใน สามารถใช้ฟันออกมางับเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว ดึงเหยื่อเข้าไปในปาก และขยอกลงไป เขี้ยวของงู จะแตกต่างจากฟันใช้ปล่อยพิษ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ

  1. Opistoglyphous หรือ Rear-Fanged
  2. Proteroglyphous หรือ Front-Fanged

ซึ่ง Rear-Fanged Snakes จะมี 3 สายพันธุ์ ในวงศ์ของ Colubird จะมีเขี้ยว 1 คู่ ส่วน Front-Fanged Snakes คือพวก Burrowing Asps Cobra Mamba และ Kraits Cobra และ Viper Fangs

ขนาดและรูปร่าง

งูจงอางมีลักษณะและรูปร่างที่เหมือน ๆ กัน คือมีขนาดของลำตัวใหญ่และยาว จะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในเรื่องของขนาด ซึ่งเกิดจากจากวิวัฒนาการของสายพันธุ์และธรรมชาติเป็นผู้กำหนด งูจงอางเป็นงูพิษที่มีขนาดใหญ่ มีตากลมสีดำใช้สำรวจหาเหยื่อที่อยู่ในระยะไกลได้ ซึ่งการที่งูจงอางมีขนาดใหญ่ สาเหตุหลักเนื่องมาจากต้องการอาหารในการดำรงชีพมาก แต่มีข้อจำกัดด้วยขนาดตัวที่มีขนาดใหญ่ ทำให้การล่าอาหารในบางครั้งอาจเป็นไปด้วยความยากลำบาก และในเรื่องการปรับอุณหภูมิในร่างกายความใหญ่ของร่างกายทำให้ต้องใช้เวลาในการปรับอุณหภูมิเป็นเวลานาน รวมทั้งพฤติกรรมการล่า หาอาหาร และสืบพันธุ์ สามารถขึ้นต้นไม้และอาศัยความเร็วในการจู่โจมเหยื่อ โดยใช้หางในการเกาะเกี่ยวต้นไม้ ทำให้สามารถห้อยตัวลงไปดึงกิ้งก่าหรือนกจากต้นไม้ได้

สีสันของเกล็ด

สีเกล็ดของงูจงอาง

งูจงอางมีหลายสี เกล็ดของงูจงอางจะเปลี่ยนสีโดยขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและถิ่นที่อยู่อาศัย โดยปกติทั่วไปจะเปลี่ยนสีสันของเกล็ดได้เล็กน้อย ให้กลมกลืนกับสภาพภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการอำพรางตัวเองจากเหยื่อหรือศัตรู ส่วนมากเกล็ดจะมีสีน้ำตาลอ่อน เหลืองอมน้ำตาล น้ำตาลแก่อมดำ เทาอมดำ เขียวมะกอก ขาวครีมอมเหลืองอ่อน และขาวงาช้างเป็นสีสันของเกล็ดมาตรฐานของงูจงอาง

บริเวณท้องของงูจงอางจะเป็นสีอ่อน มีขอบเกล็ดสีดำลักษณะเป็นปล้องขาว มองคล้ายเส้นเล็ก ๆ ตามขวางอยู่ที่บริเวณเกล็ด เป็นระยะตลอดทั่วทั้งลำตัว ตามปกติถ้าไม่สังเกตจะมองไม่ค่อยเห็น นอกเสียจากเวลาโกรธหรือแผ่แม่เบี้ย ทำให้ลำตัวพองและขยายเกล็ดออกมา หรือเวลากลืนกินเหยื่อจนเกล็ดบริเวณท้องขยายออกจนเห็นได้ชัด ตามปกติปล้องสีขาวนี้จะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในงูจงอางตัวอ่อนที่มีขนาดเล็ก

งูจงอางเพศผู้จะมีสีสันที่แตกต่างจากงูจงอางเพศเมีย ตามปกติจะมีสีส้มแก่พาดขวางบริเวณใต้ลำคอ รอบขึ้นมาจนถึงบริเวณลำคอแล้วค่อย ๆ จางลงจนกลายเป็นสีเหลืองอ่อน เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่างูคอแดง ซึ่งจะไม่มีในงูจงอางเพศเมีย ซึ่งจะมีสีเหลืองอ่อนจนซีด สีสันของเกล็ดไม่สวยสดและเข้มเหมือนกับงูจงอางเพศผู้ ซึ่งจะมีสีเหลืองอ่อนบริเวณใต้คางและริมฝีปากล่าง ส่วนงูจงอางเพศเมียจะมีสีขาวครีม และเมื่อขดตัวตามธรรมชาติ สีสันของเกล็ดในส่วนอื่น ๆ จะมองไม่ค่อยเห็น แต่จะสามารถสังเกตเห็นสีขาวบริเวณใต้คางได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถแยกแยกได้ว่าตัวไหนเพศผู้เพศเมีย

การสืบพันธุ์

งูจงอางสืบพันธุ์โดยการวางไข่ปีละ 1 ครั้ง โดยมีฤดูผสมพันธุ์ที่แน่นอน ในราวต้นฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคม - เมษายน วางไข่ครั้งละประมาณ 20 - 30 ฟอง มากที่สุดคือประมาณ 45 ฟอง เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ งูจงอางตัวผู้จะเลื้อยเข้าหางูจงอางตัวเมียที่พร้อมการผสมพันธุ์ ซึ่งในแต่ละครั้งการเข้าหางูจงอางตัวเมียนั้น งูจงอางตัวผู้หลาย ๆ ตัวจะทำการต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงงูจงอางตัวเมีย (Combat Dance) โดยวิธีการฉกกัดและใช้ลำตัวกอดรัดกัน กดให้คู่ต่อสู้ที่เพลี้ยงพล้ำอยู่ด้านล่างให้อ่อนแรงในลักษณะคล้ายกับมวยปล้ำ ผลัดกันรุกผลัดกันรับแต่จะไม่มีการฉกกัดกันจนถึงตาย เมื่องูจงอางตัวผู้ตัวใดอ่อนแรงก่อน ก็จะยอมแพ้และเลื้อยหนีไป

งูจงอางตัวเมียเมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้ว จะมีระยะเวลาการตั้งท้องนานประมาณ 25-70 วัน โดยทั่วไปลักษณะของไข่งูจงอาง จะมีลักษณะเป็นรูปทรงไข่หรือรูปทรงรียาว มีสีขาวถึงสีครีม เปลือกไข่ค่อนข้างนิ่มแต่ไม่แตก (Leathery) และจะมีขนเส้นเล็ก ๆ บริเวณเปลือกไข่สำหรับดูดซับความชื้นภายในรัง ไข่ของงูจงอางจะไม่ติดกันเป็นแพเหมือนกับไข่ของงูกะปะ มีขนาดประมาณ 3.50 - 6.00 เซนติเมตร ลักษณะคล้ายไข่เป็ดและจะฟักออกมาเป็นตัวอ่อนในตอนต้นของฤดูฝนประมาณเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม

ก่อนการวางไข่ งูจงอางตัวเมียจะใช้ลำตัวกวาดเศษใบไม้ร่วง ๆ มากองสุมกัน เพื่อทำเป็นรังสำหรับวางไข่ให้เป็นหลุมลึกเท่ากับขดหางโดยใช้ใบไม้แห้งรองพื้น และหลังจากวางไข่เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะใช้เศษใบไม้คลุมไข่อีกชั้นหนึ่ง เพื่อเป็นการป้องกันไข่จากศัตรูอื่นเช่นมนุษย์ และจะคอยเฝ้าหวงและดูแลไข่โดยการนอนขดทับบนรังเฝ้าไข่ของมันตลอดเวลาโดยไม่ยอมออกไปหาอาหาร ซึ่งผิดกับงูชนิดอื่น ๆ ที่ส่วนมากมักจะทิ้งไข่ไว้ภายในรัง ให้ฟักออกมาเป็นตัวเองโดยไม่เหลียวแลคอยดูแลและปกป้อง งูจงอางตัวผู้ในฤดูผสมพันธุ์ จะเป็นยามเฝ้ารังและอยู่ใกล้ ๆ บริเวณรัง ในขณะที่งูจงอางตัวเมียจะอยู่แต่ภายในรัง ซึ่งในฤดูกาลผสมพันธุ์และวางไข่จะเป็นช่วงที่งูจงอางดุมากเป็นพิเศษ จะคอยไล่ผู้ที่เดินทางผ่านรังของมัน ส่วนงูจงอางตัวเมียจะอยู่กับไข่ภายในรัง ไม่กวดไล่

เมื่องูจงอางตัวเมียฟักไข่ จะคอยเฝ้าดูแลและรักษาไข่ที่ซ่อนอยู่ในรังเพื่อให้ปลอดภัยจากศัตรูทุกชนิด เมื่อลูกงูฟักเป็นตัวอ่อนหรืองูที่ยังไม่โตเต็มวัย พังพอนเป็นศัตรูตัวฉกาจ และมีชะมด อีเห็นและเหยี่ยวรุ้งคอยไล่ล่า นอกจากนี้ยังมีเห็บเกาะกัดดูดเลือดลูกงูจงอางอีกด้วย ลูกงูจงอางแรกฟักออกจากไข่ จะมีขนาดของลำตัวยาวประมาณ 50 เซนติเมตร โตเท่ากับนิ้วมือ โดยทั่วไปหากไม่เคยรู้จักหรือพบเห็นลูกงูจงอางมาก่อน จะเข้าใจว่าเป็นงูเขียวดอกหมากหรืองูก้านมะพร้าว เนื่องจากมองดูคล้ายคลึงกัน แต่จะมีลักษณะสำคัญที่แตกต่างคือ มีความดุร้ายตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อพบเห็นสิ่งใดผิดแปลก จะแผ่แม่เบี้ยอยู่ตลอดเวลา เตรียมพร้อมการจู่โจมทันที

ถึงแม้จะเป็นเพียงลูกงูจงอางแต่พิษของมันก็สามารถทำให้คนหรือสัตว์ตายได้ ลำตัวเป็นสีดำและมีลายสีเหลืองคาดขวางตามลำตัวเป็นระยะ ๆ เริ่มตั้งแต่ปลายหัวจนสุดปลายหาง บริเวณด้านท้องจะเป็นสีเหลืองอ่อน ซึ่งจะเปลี่ยนสีของลำตัวเมื่อลูกงูจงอางเข้าสู่ระยะของตัวเต็มวัย เมื่อมีขนาดของลำตัวประมาณ 0.8 - 1 เมตร ลูกงูจงอางเมื่อลอกคราบใหม่ ๆ จะมีสีสันของเกล็ดที่อ่อนสดใส มองดูเป็นมันเลื่อม ซึ่งจะค่อย ๆ ผันแปรสีสันของเกล็ดให้เป็นสีเข้มทั่วทั้งลำตัว ลักษณะของเกล็ดจะด้าน ที่บริเวณดวงตาจะฝ้าขาวมัว และจะลอกคราบใหม่อีกครั้ง เป็นเช่นนี้ตลอดไป

ถิ่นอาศัยและการล่าเหยื่อ

งูจงอางมีการกระจายพันธุ์ตลาดทั้งเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพื้นที่ทางตอนใต้ของเอเชียตะวันออก (ภาคใต้ของประเทศจีน) ที่ซึ่งพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก งูจงอางเป็นงูป่าโดยกำเนิดอย่างแท้จริง โดยจะอยู่กันเป็นคู่ อาศัยอยู่ในระดับสูงกว่าน้ำทะเลได้ถึง 2,000 เมตร บนภูเขาหรือในป่าไม้ งูจงอางจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำลำธาร ตามบริเวณซอกหินหรือในโพรงไม้ หรือในป่าไผ่ทึบที่มีไผ่ต้นเตี้ย ๆ จำนวนมาก รวมทั้งในบริเวณป่าไม้ที่มีความชื้นแฉะที่มีความอบอุ่น และมีต้นไม้สูง ๆ หนาทึบ แต่ไม่ใช่ป่าดงดิบที่ไม่ค่อยมีแสงสว่างส่องลอดผ่านมาสู่พื้นดิน และอากาศอบชื้น งูจงอางสามารถขึ้นต้นไม้ได้เป็นอย่างดีและรวดเร็ว แต่ตามปกติแล้วมักจะอยู่ตามพื้นดินมากกว่าอยู่บนต้นไม้

งูจงอางเป็นงูที่ออกล่าเหยื่อได้ทั้งในเวลากลางวันที่มีแสงแดดไม่ร้อนจัดมากนัก และในเวลาพลบค่ำ โดยจะเลื้อยออกไปหาเหยื่อตามถิ่นอาศัยที่มีอาหารชุกชุม อาหารหลักของงูจงอางคืองูชนิดอื่น ๆ เช่น งูทางมะพร้าว งูสิงหางลายหรือแม้กระทั่งงูเหลือมตัวเล็ก ๆ ที่มีขนาดไม่โตนัก นอกจากจะกินงูด้วยกันเองแล้ว ในบางครั้งงูจงอางอาจจะกินสัตว์จำพวกตะกวด กิ้งก่า ตุ๊กแก เหี้ย เป็นอาหารอีกด้วย หรือแม้ในบางครั้งงูจงอางก็กินลูกงูจงอางด้วยกันเอง เคยมีผู้ยิงงูจงอางเพศผู้ได้ และเมื่อผ่าท้องออกพบลูกงูจงอางอยู่ในนั้น แสดงว่างูจงอางกินแม้กระทั่งงูจงอางด้วยกัน เพียงแต่ยังเล็กอยู่เท่านั้น แต่เมื่อโตเต็มวัยก็ยังไม่เคยพบว่างูจงอางกินงูจงอางด้วยกันเอง

การล่าเหยื่อของงูจงอางจะใช้วิธีซุ่มรอคอยเหยื่อในสถานที่ที่เหยื่ออาศัยอยู่ เมื่อเหยื่อเลื้อยหรือผ่านเข้ามาในบริเวณที่งูจงอางซุ่มดักรอคอย จะพุ่งตัวเข้ากัดที่บริเวณลำคอของเหยื่ออย่างรวดเร็ว แล้วจับกินเป็นอาหาร งูจงอางสามารถกลืนเหยื่อที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของมันเองได้ทั้งตัว โดยเริ่มการบริเวณศีรษะของเหยื่อ ค่อย ๆ ขยอกเข้าไปในปากจนกระทั่งหมด และหลังจากการล่าเหยื่อเสร็จสิ้นลง งูจงอางจะต้องหาแหล่งน้ำเพื่อดื่มน้ำหลังจากที่กินเหยื่อเรียบร้อยแล้ว

       

guest

Post : 2013-12-05 19:18:24.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  งูเขียวหางไหม้

 งูเขียวหางไหม้ [Green pit viper]

เป็นงูบกที่มีพิษน้อยที่สุดในบรรดางูพิษ พบได้ทั่วประเทศ หัวเป็นรูปสามเหลี่ยม หางสั้นมีสีแดง ลำตัวเขียว อาศัยเกาะตามกิ่งไม้ใต้ถุนบ้าน พิษของมันจัดเป็น hemotoxin ชอบหากินกลางคืน

ดูที่ปลายหางจะมีสีแดงๆ

อาการเฉพาะที่

  • เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงทันทีที่ถูกกัด แล้ค่อยๆหายใน 5-6 ชั่วโมง
  • บริเวณที่ถูกกัดจะบวมอย่างรวดเร็วในระยะ 3-4 วันแรก แล้ค่อยๆยุบบวมในเวลา 5-7 วัน
  • มีเลือดออกจากรอยเขี้ยว แต่ไม่มาก

อาการทั่วไป

  • มีจ้ำเลือดออกใต้ผิวหนัง เป็นจุดๆทั่วตัวเลือกออกจากแผล
  • ปัสสาวะแดง หรือ เป็นเลือด
  • ถ่ายอุจาระเป็นเลือด
  • ถ้าได้พิษมาก อาจมีเลือดตามอวัยวะต่างๆได้
  • ถ้ามีอาการบวมมากว่า 1 ข้อถัดไปถือว่ารุนแรง

การรักษา

  1. ทำความสะอาดแผลเหมือนงูเห่า
  2. การให้ serum แก้พิษงู จะให้ในกรณีต่อไปนี้
  • มีเลือดออกผิดปกติ เช่นเลือดออกทางเดินอาหาร
  • ควรเจาะเลือดทุกวันเป็นเวลา 72 ชั่วโมง เพื่อดูการแข็งตัวของเลือด
  • ค่าการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ venous clotting time มากกว่า30 นาที
  • เกล็ดเลือดน้อยกว่า 100000

                 

guest

Post : 2013-12-05 19:15:09.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  งูแมวเซา

 

งูแมวเซา [Russel'Viper ]

พบชุกชุมในภาคกลาง ลักษณะตัวอ้วน หัวเป็นรูปสามเหลี่ยม คอเล็ก สีน้ำตาลลำตัวมีลายเป็นรูปวงแหวนหรือรูปไข่อยู่ด้านข้างตลอดลำตัว เวลาโกรธจะขดตัวเป็นก้อนส่งเสียงขู่เหมือนเสียงแมวกรนแล้วพุ่งเข้าฉกกัดอย่างรวดเร็ว พิษที่สำคัญของมันเป็น hemotoxin ทำให้มีเลือดออกซึ่งอาจเกิดจากเม็ดเลือดแดงแตก หรือเลือดไหลออกจากร่างกาย และยังเกิด ภาวะ DIC [disseminated intravascular coagulation] โดยมีการลดลงของ เกล็ดเลือด,fibrinogen เมื่อเจาะเลือดพบว่าเลือดแข็งตัวไม่ดี

อาการเฉพาะที่

  • ทันที่ทีถูกงูกัดจะเกิดอาการปวดและมีอาการบวมมาก อาการบวมเกิดเกิดขึ้นได้ภายใน 2-3 นาที
  • มักจะมีรอยเขี้ยว 2 จุดซึ่งมีเลือดไหลออกตลอดเวลา และบริเวณรอบแผลจะมีสีคล้ำ
  • บริเวณโดยรอบเขี้ยวจะบวมอย่างชัดเจนภายใน 15-20 นาที และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งแขนข้างนั้นบวมหมดในเวลา 12-24 ชั่วโมง และอาจเริ่มพองและมีเลือด

อาการเฉพาะที่

  • ทันที่ทีถูกงูกัดจะเกิดอาการปวดและมีอาการบวมมาก อาการบวมเกิดเกิดขึ้นได้ภายใน 2-3 นาที
  • มักจะมีรอยเขี้ยว 2 จุดซึ่งมีเลือดไหลออกตลอดเวลา และบริเวณรอบแผลจะมีสีคล้ำ
  • บริเวณโดยรอบเขี้ยวจะบวมอย่างชัดเจนภายใน 15-20 นาที และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งแขนข้างนั้นบวมหมดในเวลา 12-24 ชั่วโมง และอาจเริ่มพองและมีเลือด

อาการทั่วไป

 

  • ผู้ป่วยที่ได้รับพิษมากจะมีอาการของเลือดออกง่ายภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง เช่น เลือดออกเป็นจ้ำๆบริเวณผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน ไอมีเสมหะปนเลือด ถ่ายอุจาระสีดำ ปัสสาวะเป็นเลือด
  • เลือดออกจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งความดันต่ำ ไตเสื่อมและเสียชีวิต
  • ผู้ป่วยที่ถูกงูแมวเซากัด ควรรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาลทุกรายเพื่อสังเกต
    อาการอย่างน้อย 24 ชั่วโมง

     

ในผู้ป่วยที่ถูกงูแมวเซากัด และมีภาวะไตวายเฉียบพลัน อาจพิจารณาทําฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม hemodialysis เมื่อมีช้อบ่งชี้ได้แก่

งูแมวเซากัด

  •  มีลักษณะทางคลินิกของภาวะยูรีเมีย (uremia)
  • ภาวะสารนํ้ าเกิน (fluid overload)
  • ผลการตรวจเลือดผิดปกติ อย่างน้อย 1 อย่าง ต่อไปนี้
    - creatinine สูงกว่า 6 มก.ต่อดล. (500 ไมโครโมลต่อลิตร) 
    - BUN สูงกว่า 200 มก.ต่อดล. (400 มิลลิโมลต่อลิตร) 
    - potassium สูงกว่า 7 มิลลิโมลต?อลิตร 
    - symptomatic acidosis

 

처음 이전 ... 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 다음 끝
Tel: 095-506-4939 , 085-737-7178 ไนท์| Email: lovenight_loveyou@hotmail.com